” กะปิเด็ด ปลายี่สนหอมน้ำตาลมะพร้าว น้ำอบกลิ่นตราตรึง “
ช่วงนี้อากาศร้อนมากๆ วันนี้ Kinlakestars ก็เลยขอชวนมาลิ้มลอง ‘ข้าวแช่ ‘ กัน ที่ห้องอาหาร Spice Market แห่งโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ซึ่งตัวห้องอาหารตั้งอยู่ชั้นเดียวกับล๊อบบี้ของโรงแรมฯ อยู่บริเวณปาริชาติ คอร์ท พอเดินออกจากส่วนของล๊อบบี้ ก็เลี๊ยวขวา เดินตรงมาจนสุด ก็จะพบกับห้องอาหารแล้ว
เดินเข้ามาในส่วนหน้าภายในร้าน ก็จะพบกับ บุ้งกี๋หวาย ที่ถูกตกแต่งอยู่ข้างผนัง
พอเราเดินผ่านส่วนหน้าเข้ามา ก็จะพบกับโต๊ะอาหารที่ตั้งเรียงรายอยู่ โดยบรรยากาศรอบๆ ตกแต่งให้ดูมีความย้อนยุคเล็กน้อย เคล้าคลอกับเสียงเพลงไทยเดิม คือ ทำให้รู้สึกอินกับบรรยากาศได้ไม่น้อย
อีกทั้งบริเวณผนังทุกด้าน มีการจัดวางวัตถุดิบต่างๆ เสมือนยกตลาดมาไว้ภายในห้องอาหาร ซึ่งก็ตรงคอนเซปท์ของชื่อร้านที่ว่า Spice Market นั่นเอง
เหล่าวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มะตูม พริกแห้ง เห็ดหอม เป็นต้น
ข้างๆ ก็มีไหเหล้า ตั้งโชว์ไว้ด้วย
ส่วนมุมนี้ เป็นมุมของบาร์ จะมีน้ำต่างๆ ให้บริการ ซึ่งมุมนี้มีการใช้ประตูเหล็กพับมาเป็นฉากข้างหลัง นอกจากนี้ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า บริเวณบนเพดาน มีการตกแต่งด้วย สายไฟฟ้า บนเสาไฟฟ้าด้วย ซึ่งการตกแต่งภายในร้าน ให้ความรู้สึกว่ารายละเอียดต่างๆในร้าน มีความเก๋อยู่ในตัวดี
มาพบกับ ชุดข้าวแช่ ของเรากันเลยดีกว่า
คือ ทุกอย่างที่ทำ มีความพิถีพิถันอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวข้าวแช่ เครื่องกับข้าวต่างๆ หรือแม้กระทั่งผักแนม ที่ถูกแกะสลักมาอย่างสวยงาม
ข้าวที่ใช้ จะเป็น ข้าวเสาไห้ โดยเชฟวรินธร เชฟประจำห้องอาหาร Spice Market มีเคล็ดลับต่างๆ เกี่ยวกับข้าวแช่ มาบอกด้วย คือ สำหรับข้าวนั้น ควรจะหุงข้าวให้เป็นตากบ จากนั้นนำไปล้างน้ำ โดยต้องล้างเบาๆ ล้างจนน้ำที่ล้างข้าวไม่ขุ่น แล้วนำไปนึ่งซักเล็กน้อย จากนั้นนำไปอบควันเทียน และ ดอกไม้ต่างๆ ข้ามคืน 1 คืน
ต่อมาเป็น ส่วนของน้ำที่ลอยดอกไม้ เชฟใช้ดอกไม้ทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ ดอกมะลิ ดอกชมนาด และ ดอกกุหลาบ
สำหรับชุดข้าวแช่ ที่จะมาเสิร์ฟ หนึ่งชุดจะมาประมาณนี้นะครับ
ราคาชุดละ 720 บาท++ ซึ่งอาจนำมาแชร์กันสองท่านได้
ข้าวแช่ จะเสิร์ฟมาในถ้วยแบบนี้
พอเปิดออกมา กลิ่นของดอกไม้ และ ควันเทียนที่อบข้าวไว้ ก็หอมฟุ้งออกมาเลยครับ
ส่วนพวกเครื่องกับข้าว ก็มีทั้งหมด 6 อย่าง ได้แก่ ลูกกะปิ หัวไชโป้ว หอมแดงสอดไส้ทอด โดยเครื่องกับข้าวทุกอย่าง ทางโรงแรมฯ ทำเองทุกขั้นตอน อย่างพิถีพิถัน ซึ่งบางอย่าง ก็สามารถหาทานได้ยาก อย่างปลายี่สนผัดหวาน
เริ่มจากเครื่องข้าวแช่ตัวที่เด่นของที่นี่ก่อนเลย คือ ลูกกะปิ ตัวนี้เชฟมีความภูมิใจนำเสนอมาก เพราะถือเป็นพระเอกของข้าวแช่ของที่นี่เลยทีเดียว ดูเป็นลูกเล็กๆ แบบนี้ แต่ขั้นตอนการทำ นี่ไม่ง่ายเลย มีหลากหลายขั้นตอนมากมาย รวมไปถึงส่วนผสมที่ใช้ มีมากมายหลายชนิดเลย ซึ่งส่วนผสมแรก ก็คือ เครื่องเทศต่างๆ ตามแบบฉบับสูตรเฉพาะของเชฟฯ ในปริมาณที่เรียกว่า ถึงเครื่องกันเลยทีเดียว เพราะเครื่องเทศเหล่านี้ จะช่วยในการชูรสให้กับลูกกะปิของเขา โดยนอกจากเครื่องเทศแล้ว ส่วนผสมที่สำคัญอีกอย่าง ก็คือ กะปิ ซึ่งกะปิที่ใช้ ต้องใช้กะปิ จากระยอง เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ความเค็มของกะปิ กำลังดี และ สีสวย ไม่ดำ เหมือนกะปิที่อื่น โดยก่อนจะนำกะปิมาผสมนั้น ต้องนำกะปิมาย่างในใบตองให้หอมก่อน ถึงจะนำมาใช้ได้ และอีกอย่างที่ทำให้ลูกกะปิของที่นี่แตกต่างจากที่อื่น ก็เพราะเชฟ ใช้ส่วนผสมพิเศษอีกอย่าง คือ ปลาสลิด จาก อ.บางบ่อ นั่นเอง โดยนำมาไปทอดกรอบให้ฟู และ โขลกผสมลงไปด้วย ส่วนความหวานของลูกกะปินั้น ได้จาก น้ำตาลมะพร้าว ของดีจากอัมพวา นั่นเอง ซึ่งเวลานำมาผัด จะมีกลิ่นหอมมากๆ หลังจากได้ชิมแล้ว คือ มันดีจริงๆ รสชาตินัวมาก เค็มๆ หวานอ่อนๆ รสชาติกลมกล่อม มีกลิ่นเครื่องเทศ และ กะปิ อ่อนๆ ไม่ฉุน คือ ทั้งรส ทั้งกลิ่น ลงตัวมาก
ส่วนตัวรองของที่นี่ คือ หัวไชโป้วผัดหวาน ตัวนี้ก่อนจะนำหัวไชโป้วไปผัด เขาจะมีเคล็ดลับเล็กน้อย คือ นำหอมแดง ไปเจียวในน้ำมันเล็กน้อยก่อน ให้มีความหอม จากนั้นจึงนำหัวไชโป้วลงไปผัด ผัดให้ขึ้นเงาพอ ก็จะได้หัวไชโป้วผัดหวานแบบนี้
ปลายี่สนผัดหวาน เริ่มจากนำปลามาย่าง ให้หอม และ เนื้อฟู ก่อน จากนั้นก็นำมาผัดกับมะพร้าวขูดขาว และน้ำตาลมะพร้าว ที่สั่งตรงจากอัมพวา เป็นน้ำตาลปึกจากมะพร้าว ซึ่งของที่นี่ผัด หรือ เคี่ยวได้กำลังดี ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มกำลังดี เนื้อสัมผัสจะคล้ายๆ ไส้หมูหยองในขนมปังเหมือนกัน แต่มีความชุ่มฉ่ำด้วย และที่สำคัญมีความหอมของมะพร้าวมาก รสชาติจะออกไปทางหวานๆ
หมูฝอยหวาน สำหรับหมูฝอยหวานนี้ ก็จะคล้ายหมูหยอง แต่มีเนื้อมีความหยาบกว่า คือ เส้นจะใหญ่กว่า นั่นเอง จะมีความกรอบด้วยนะสำหรับหมูฝอยนี้
หอมแดงสอดไส้ ตัวนี้ไส้ข้างในจะเป็นหมูหวาน โดยตัวไส้ เขาจะนำหมูไปตุ๋นก่อน แล้วนำมายีๆ แล้วทำให้แห้งๆ คล้ายหมูหยอง พอยัดไส้ใส่ในหอมแล้ว ก็นำชุบแป้งชุบไข่ทอด สำหรับตัวนี้พอทาน จะได้เนื้อสัมผัสของหอมเต็มๆ คือ ยังมีความกรอบ แบบฉ่ำๆ ของหอมอยู่ และได้รสชาติจากไส้ข้างในเค็มๆ หวานๆ
เครื่องข้าวแช่ตัวสุดท้าย ดูหน้าตาอลังการสุดในบรรดาเหล่าเครื่องข้าวแช่ ก็คือ พริกหยวกสอดไส้ สำหรับตัวนี้ ไส้ที่ใช้จะเป็น กุ้ง และหมูสับ แล้วนำไปใส่ในพริกหยวก จากนั้นนำไปนึ่ง สุดท้ายนำไข่ฟูมาห่อตัวพริก ได้ออกมาเป็นแบบนี้เลย คือ สร้างความโดดเด่น ให้แก่ ชุดข้าวแช่นี้ เป็นอย่างดี ไม่ว่า สีสัน และ รูปร่างที่สวยงาม
และ ผักแนม ก็ถูกแกะสลัก และ จัดมาอย่างปราณีต ซึ่งมีทั้ง แตงกวา มะม่วงมัน กระชาย เป็นต้น
นอกจาก ข้าวแช่ ที่ช่วยดับร้อนกันแล้ว ทางห้องอาหาร Spice Market ก็ยังมีอีกอย่างที่ช่วยดับร้อนอีกอย่าง นั่นก็คือ หวานเย็น ในแบบฉบับของอนันตรา สยาม นั่นเอง มาเป็นรถเข็นเลย ซึ่งสำหรับเมนูนี้ สามารถสั่งได้ตลอดหน้าร้อนนี้เลยครับ โดยมีให้บริการทุกวัน ยกเว้น คืนวันอังคาร และ วันอาทิตย์กลางวัน
ไสน้ำแข็งให้ดูกันสดๆ ตรงนี้เลย
มีเครื่องให้เลือกใส่หลากหลายเลยทีเดียว
นี่คือ หน้าตาของหวานเย็นของเราวันนี้ มาในรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ
มีความพุ่งพล่านของควัน ส่วนสำหรับถ้วยนี้ 109 บาท ++ โดยสามารถเลือกใส่ท๊อปปิ้งกี่อย่างก็ได้ด้วยครับ
ขอปิดท้ายด้วยข้าวแช่ อีกรอบนะครับ สามารถมาลิ้มลองได้ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 29 เมษายน นี้ เท่านั้นนะครับ รีบมาลองกันนะครับ แล้วจะรู้ว่าเด็ดแค่ไหน โดยสำหรับข้าวแช่ จะมีเฉพาะแค่ มื้อกลางวัน วันจันทร์ ถึง วันเสาร์ เท่านั้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสำรองที่นั่ง ได้่ที่ 02-126-8866 ต่อห้องอาหารไทย สไปซ์ มาร์เก็ต หรือ [email protected]
ข้าวแช่, khao chae, rice, cold water, summer, spice market, anatara siam, คลายร้อน, หน้าร้อน, อาหารไทย, ลูกกะปิ,thai cuisine , ปลายี่สน, อบควันเทียน
เรื่อง / ภาพ : Krangkrai T.
KinlakeStars.com