ดื่มด่ำไปกับโลกแห่งรสชาติอันหลากหลาย ณ ห้องอาหารเอเลเมนท์ อินสไปร์ บาย เซล เบลอ ห้องอาหารระดับหนึ่งดาวมิชลิน ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ โดยเชฟผู้มากประสบการณ์เชฟเจอราร์ด วิลลาเรท ฮอร์คาโญ (Gerard Villaret Horcajo) ได้รังสรรค์วัตถุดิบชั้นเลิศประจำฤดูใบไม้ผลิให้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกด้านอาหารอันวิจิตรบรรจง “‘Spring Guestronomic Dining Journey’ บทเพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิอันแสนวิเศษนี้ เป็นการเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์และเชิดชูผลผลิตตามฤดูกาล โดยแต่ละจานเปรียบเสมือนผืนผ้าใบใหญ่ที่รอให้รังสรรค์ผลงานศิลปะ บทเพลงแห่งรสชาติอันแสนอร่อยนี้ พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป ฝีมืออันประณีตของเชฟเจอราร์ด เปล่งประกายผ่านการผสมผสานความวิจิตรบรรจงของอาหารฝรั่งเศสเข้ากับกลิ่นอายอันละเมียดละไมของญี่ปุ่น อย่างลงตัว แต่ละจานกลายเป็นผืนผ้าใบใหญ่ บ่งบอกถึงวัตถุดิบชั้นเลิศประจำฤดูใบไม้ผลิ ผ่านบทเพลงแห่งอาหารที่ทุกจานได้คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดของฤดูใบไม้ผลิผ่านเทคนิคการทำอาหารอันน่าตื่นตาตื่นใจ ลองนึกภาพความกลมกล่อมของรสชาติ อาทิ ‘lemon sole’ ราดด้วยซอสมิโสะขาวและ Vadouvan veloute ซอสเครื่องเทศสไตล์ฝรั่งเศสที่มีส่วนผสมของหอยแมลงภู่จากฝรั่งเศส ‘Loire white asparagus’ วัตถุดิบที่มีเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ยกระดับรสชาติด้วยเห็ดมอเรลและ Brie de Meaux ชีสนำเข้าจากฝรั่งเศส เพิ่มกลิ่นหอมด้วยทรัฟเฟิลฤดูหนาวและผักชีญี่ปุ่นหรือ mitsuba เมนูจานหลักประจำฤดูกาล ‘Saddle of Lamb’ เนื้อแกะย่างรสนุ่มและชุ่มฉ่ำ รับประทานคู่กับซุกกินี ราสเบอร์รี่ดองและกระเทียมดำอาโอโมริ ปิดท้ายการเดินทางอันน่ารื่นรมย์นี้ด้วยขนมหวานกับ ‘Japanese Redia strawberry’ สตรอว์เบอร์รีรสชาติหวานชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมฮอกไกโดครีมชีส เลมอนและยูสุเพิ่มความสดชื่น “แต่ละจานเป็นการแสดงออกถึงฤดูใบไม้ผลิอันสดใส เปรียบเสมือนการสะท้อนถึงการเจริญงอกงามของพืชพรรณตามธรรมชาติ เมนูนี้ถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อให้ออกมาเป็นเมนูประจำฤดูกาลได้อย่างสมบูรณ์แบบ” เชฟเจอราร์ดกล่าว “ผมได้รับแรงบันดาลใจจากวัตถุดิบสดใหม่ชั้นเลิศ ตั้งแต่สุดยอดวัตถุดิบยุโรปไปจนถึงผลผลิตตามฤดูกาลที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น นี่ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ด้านอาหารเท่านั้น ผมใช้ส่วนผสมตามฤดูกาลที่สดใหม่ที่สุด เพื่อรังสรรค์อาหารที่ทั้งอร่อยและสวยงาม เป็นงานเลี้ยงสายตา การเฉลิมฉลองสีสันและสัมผัสวัตถุดิบประจำฤดูกาลบนทุกๆ จาน ผมเชื่อว่าแขกจะพึงพอใจกับบทเพลงแห่งอาหารและการเดินทางครั้งใหม่ที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างแน่นอน” ร่วมเดินทางไปกับบทเพลงแห่งอาหาร ลิ้มรสชาติของอาหารที่เก็บเกี่ยวเอาแก่นแท้ของฤดูใบไม้ผลิ โดยแต่ละคอร์ส นำเสนอบทเพลงแห่งเนื้อสัมผัสและรสชาติ ‘Spring Guestronomic Dining Journey’ พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่22 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป ณ ห้องอาหาร…
Author: Kittin Assavavichai
“เบลล่า เซร่า” Bella Sera : Homestyle Italian Cooking by Chef Fabio at Sofitel Bangkok Sukhumvit ห้องอาหารอิตาเลียนใหม่ล่าสุดใจกลางกรุงเทพ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของโรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สุขุมวิท พร้อมที่จะต้อนรับทุกท่านอย่างอบอุ่นและร่วมลิ้มรสอาหารอิลาเลียนแท้ๆ ให้ทุกท่านได้สัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารอิตาเลียนแบบโฮมเมดที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันด้วยความรักและความเชี่ยวชาญโดยเชฟฟาบิโอ คำว่า “เบลล่า เซร่า” เป็นคำในภาษาอิตาลี ที่หมายถึง “ยามเย็นที่สวยงาม” สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ อันตรงไปตรงมาของร้านอาหาร ซึ่งในทุกเย็น สถานที่แห่งนี้จะถูกเปลี่ยน ให้กลายเป็นสถานที่ อันเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลองทั้งทางด้านอาหาร รายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนฝูง ครอบครัว และมิตรภาพที่สวยงาม ซึ่ง อาหารแต่ละเมนู และแต่ละจาน ยังจะถือเป็นการแสดงความเคารพและระลึกถึง ความสวยงาม และศิลปะในการทำอาหารจากคุณแม่ของเชฟฟาบิโอ อีกด้วย สูตรอาหารของเชฟฟาบิโอนั้นทอดมาด้วยความรัก ความอบอุ่น และความเอาใจใส่ ซึ่งแนวคิดหรือคอนเซ็ป คือ ” LA CUCINA DI MAMAM MIA” หรือ อาหารรสมือแม่ ที่จะเน้นไปที่รสชาติของความรัก และเน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีที่สด สะอาด และปลอดภัย โดยเชฟฟาบิโอได้นำสูตรอาหารที่ได้เรียนรู้มาจากแม่มากว่า 40 ปี และจากบ้านเกิด ณ เมือง “อูดิเน” มารังสรรค์ให้เป็นเมนูอิตาเลี่ยนสูตรดั้งเดิม ณ ห้องอาหารเบลล่า เซร่า มีการคัดสรรวัตถุดิบที่สดใหม่อย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบจากทางบกและทางทะเล ทำให้มั่นใจได้ถึงความสดใหม่ และคุณภาพอันยอดเยี่ยมของอาหารเหมือนมีคุณแม่ชาวอิตาเลียนมาทำให้รับประทาน อิ่มอร่อยกับเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน อาทิ “MELANZANE AL FORNO COME SEMPRE” เมนูมะเขือยาวย่างโฮมเมด เสิร์ฟพร้อมชีสและซอสมะเขือเทศ เมนูอาหารที่นำเสนอสไตล์คลาสสิก เช่น ริซอตโต้ทะเลแบบดั้งเดิม “RISOTTO AI FRUTTI DI MARE” และพาสต้าโบโลเนสอันเข้มข้น “TAGLIATELLE ALLA BOLOGNESE” เมนูที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ “LASAGNA…
‘มานโฮ บิสโทร’ ห้องอาหารจีนสไตล์โมเดิร์นที่ต่อยอดความอร่อยจากห้องอาหารจีนมาน โฮ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ พร้อมเปิดครัวและให้บริการเสิร์ฟความอร่อยอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ณ ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก หมุดหมายความอร่อยแห่งใหม่ ใกล้กับบริเวณศาลท้าวมหาพรหม ก้าวสู่มิติความอร่อยที่ผสานกันอย่างกลมกลืนในทุกรายละเอียด ตั้งแต่บรรยากาศการตกแต่งห้องอาหารที่ดีไซน์ในแบบร่วมสมัย ร้อยเรียงไปตามแนวความคิดการหวนระลึกถึงความหลัง ไปจนถึงการนำเสนอรูปแบบอาหารแต่ละจาน ที่บอกกล่าวเรื่องราวความหลงใหลและความเชี่ยวชาญประณีตในการปรุง เพื่อมอบประสบการณ์ที่มากกว่าแค่การได้รับประทานอาหารชั้นยอด บริเวณที่นั่งรับประทานอาหารด้านในมีห้องครัวแบบเปิดโล่งช่วยให้เชฟและนักชิมมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมากยิ่งขึ้น มีห้องรองรับแบบพิเศษที่ให้บริการได้ทั้งกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กและใหญ่ ภายในห้องมีชุดครัวสำหรับประกอบอาหาร เพื่อจัดสรรพื้นที่ให้คุณได้มาสังสรรค์โอกาสพิเศษกันแบบส่วนตัว หัวเรือใหญ่ผู้รังสรรค์อาหารจีนสไตล์โมเดิร์นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเชฟเลสลี่ ดูว์ หัวหน้าเชฟอาหารจีนมือฉมังประจำห้องอาหารจีนมาน โฮ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ แรงบันดาลใจความอร่อยครั้งนี้มาจากอาหารประจำมณฑลเสฉวนและซานตง ซึ่งเชฟเคยเดินทางไปท่องเที่ยวและได้ลิ้มลองรสชาติแบบท้องถิ่น จนนำมาสู่การรังสรรค์เป็นเมนูอาหารจีนสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด เชิดชูการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและจัดเสิร์ฟในรูปแบบจานต่อจาน เปิดต่อมรับรสไปกับเมนูแนะนำจากเชฟ อาทิ ซี่โครงเนื้อออสเตรเลียชาซิว ปลาหิมะนึ่งซอสซีอิ๊วเต้าซี่และไชเท้าดอง บะหมี่มันเทศผัดปูไข่ เผือกทอดไส้หอยเชลล์และคาเวียร์ และไอศกรีมอะโวคาโดโฮมเมด โรยด้วยอัลมอนด์สไลด์และเมล็ดฟักทอง เสริมรสชาติอาหารด้วยเมนูค็อกเทลสุดสร้างสรรค์อย่างชาท็อดดี้ (Cha Toddy) ค็อกเทลที่นำวิสกี้จีนมาผสมกับขิงเชื่อมน้ำผึ้ง และผลไม้ตระกูลซิตรัส ค็อกเทลกานเปย (Ganbei) ที่มีส่วนผสมของวิสกี้ สวีท เวอร์มุธ แกรนด์ มาเนียร์ และอโรมาติก บิทเทอร์ หรือค็อกเทลมิติใหม่ที่นำเสนอกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของดอกเก๊กฮวย ห้องอาหารจีนมาน โฮ บิสโทร (Man Ho Bistro) ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.30–22.00 น. สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ 0–2079–1189 Kin News Kinandleisure.com Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม…
กรุงเทพฯ ประเทศไทย – กุมภาพันธ์ 2567 – ศิลาดลซึ่งขึ้นชื่อในด้านอาหารไทยเลิศรส เชิญชวนนักชิมมาร่วมสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยเมนูใหม่ล่าสุดอย่าง Celadon Tasting Menu ซึ่งคัดสรรโดยเชฟโรซาริน (ริน) ผู้เป็นที่นับถือ ด้วยแรงบันดาลใจจากประเพณีการทำอาหารไทย เชฟรินและทีมงานที่ทุ่มเทของเธอได้รังสรรค์เมนูอาหาร 7 คอร์สอย่างพิถีพิถัน ซึ่งออกแบบมาเพื่อนำเสนอรสชาติที่หลากหลายและอาหารประจำภูมิภาคของประเทศไทย จากป่าอันเขียวชอุ่มของเชียงรายไปจนถึงถนนที่พลุกพล่านในกรุงเทพฯ แต่ละจานถือเป็นการเฉลิมฉลองการปรุงอาหารไทยแท้ที่บ้านอย่างดีที่สุด ราคาเพียง 2,800++ บาทต่อท่าน เมนูอาหารเต็มอิ่มมีหลากหลายเมนูชวนน้ำลายสอ ได้แก่: หมูหมักปูม้า ข้าวเหนียวกระเทียม ขิง หอมแดง พริก และถั่วลิสงแกงมัสมั่นเนื้อพัฟทองอกเป็ดรมควันสไตล์เชียงรายพริกแห้งสมุนไพรหอมแกงจืดปลาหางเหลืองพร้อมหอมแดงคั่ว กระเทียม มะม่วงเขียว ขมิ้น และน้ำส้มมะพร้าวกุ้งแม่น้ำย่างกับน้ำจิ้มมะขามกุ้งและผักกรุบกรอบแกงป่าไก่ปลอดสารพร้อมพริก ตะไคร้ และกระวานสดกะลามะพร้าวกรอบกับแยมมะกรูดและเชอร์เบทกะทิชะมด เมื่อพูดถึงเมนูนี้ เชฟรินได้แสดงออกถึงความหลงใหลในการรักษาเอกลักษณ์ของอาหารไทยพร้อมทั้งเพิ่มความสร้างสรรค์ในตัวเอง “ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีในฐานะเชฟชาวไทย ฉันมุ่งมั่นที่จะรักษารสชาติดั้งเดิมและสูตรดั้งเดิมที่หาได้ยากจากที่อื่น” เธอเล่า เกิดและเติบโตในประเทศไทย เส้นทางการทำอาหารของเชฟรินเริ่มต้นภายใต้การแนะนำของคุณยายของเธอ ทั้งเชฟชาวไทยและนักทำขนมที่นับถือ เธอฝึกฝนทักษะของเธอที่เดอะ รีเจนท์ กรุงเทพฯ และต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าเชฟที่ร้านอาหารสยามเฮาส์อันโด่งดังและมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ ก่อนที่จะมาร่วมงานกับโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ สำรองที่นั่งและสอบถามข้อมูล กรุณาติดต่อโรงแรมสุโขทัยกรุงเทพที่ +66 (0) 2344 8888 แอดไลน์ @sukhothaibangkok (มี @) หรืออีเมลโปรโมชั่น@sukhothai.com อย่าพลาดโอกาสที่จะเริ่มต้นการผจญภัยด้านอาหารอันน่าจดจำด้วยเมนูชิมใหม่ของศิลาดล ซึ่งทุกจานบอกเล่าเรื่องราวของมรดกทางอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย เกี่ยวกับศิลาดล: ศิลาดลเป็นร้านอาหารไทยชั้นนำซึ่งตั้งอยู่ที่โรงแรมสุโขทัยกรุงเทพฯ นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งเฉลิมฉลองแก่นแท้ของอาหารไทย นำโดยเชฟโรซาริน (ริน) ศิลาดลมีชื่อเสียงในด้านความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เอกลักษณ์และนวัตกรรมในศิลปะการทำอาหารไทย
มารี กีมาร์ ขอแนะนำเมนูต้อนรับฤดูร้อนกับข้าวแช่ตำรับ ‘มารี กีมาร์’ ๒๕๖๗ รังสรรค์โดย ‘เชฟปิ๊ก คณิน สินพันธ์’ ที่จะนำพาทุกท่านได้สัมผัสรสชาติอันปราณีต และสัมผัสความดั้งเดิมของอาหารไทยโบราณที่สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น ต้อนรับฤดูร้อนด้วยเมนูสุดพิเศษกับข้าวแช่ตำรับ ‘มารี กีมาร์’ ๒๕๖๗ ที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่จาก ‘เชฟปิ๊ก’ เชฟรุ่นใหม่หัวใจโบราณ ซึ่งจะนำพาทุกท่านได้สัมผัสกับรสชาติโบราณแท้ ๆ ที่หาทานได้ยาก พร้อมให้ลิ้มรสชาติอันวิจิตร ตราตรึงใจของข้าวแช่ หนึ่งในเมนูอันเป็นเอกลักษณ์ของร้านมารี กีมาร์ อีกทั้งยังปราณีตบรรจงในทุกขั้นตอนการทำ และการเสิร์ฟของร้านมารี กีมาร์จะเสริร์ฟให้ได้ลิ้มรสชาติทั้งหมด ๓ สำรับ ได้แก่ สำรับแรก: ‘แตงโมหน้าปลาแห้ง’ ของว่างคลายร้อนที่ขึ้นชื่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยต้องเลือกแตงโมเนื้อดี มีรสชาติหวานเพื่อรับประทานคู่กับปลาแห้ง โดยเราคัดสรรแตงโมมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี และใช้ปลาช่อนแดดเดียวจากจังหวัด สิงห์บุรี นำปลามาย่างด้วยเตาถ่าน ก่อนโขลกให้ฟู และนำขึ้นผัดให้แห้ง ปรุงรสด้วยน้ำตาลดอกมะพร้าวจากจังหวัดสมุทรสงคราม ดอกเกลือ และหอมเจียว สำรับที่สอง: ‘ชุดข้าวแช่’ ที่ประกอบด้วยเครื่องเคียง ๘ อย่าง อันได้แก่ ๑. ลูกกะปิหอมชุบไข่ทอด รับประทานพร้อมกับกระชายอ่อนที่สลักเป็นดอกจำปาเหลืองนวล ลูกกะปิในปีนี้มีความพิเศษกว่าปีก่อนเนื้อนุ่มและละมุนขึ้นมีความหวานกว่าของเดิม โดยเชฟได้เพิ่มเนื้อปลาช่อนเข้าไป สำหรับกะปิที่นี่หอมเค็มกลมกล่อมกำลังดี ใช้กะปิจากระนอง ที่โขลกกะปิ ตะไคร้ กระชาย หัวหอม กะทิ ปั้นเป็นก้อนพอดีคำชุบไข่กับแป้งทอดให้เหลืองและเทคเจอร์เข้ากันอย่างลงตัว ๒. หอมแดงสอดไส้ปลา หอมแดงสอดไส้ปลาแห้ง หอมแดงเป็นหอมแดงจากจังหวัดสุรินทร์ เป็นหอมแดงที่สอดไส้ปลาแห้ง ก่อนนำมาชุบไข่และแป้งลงทอด ๓.พริกชี้ฟ้าแห้งสอดไส้ปลา ๔. พริกหยวกไส้หมูผัดกุ้งห่อไข่ อันเป็น เอกลักษณ์ของ มารี กีมาร์ ที่หมูเมื่อผัดกับกุ้ง จะมีเนื้อที่ร่วนหอม พริกหยวกสอดไส้ ไข่ที่ห่อพริกหยวกเชฟจะทอดจนกรอบเป็นตาข่ายสวยงาม นำพริกหยวกมาคว้านเมล็ดยัดไส้หมูสับปรุงรสแล้วนำไปนึ่ง ก่อนห่อด้วยไข่ตาข่าย ๕. ปลาช่อนแดดเดียวฉาบ ๖. หัวไชโป๊วซอยเป็นเส้นและนำมาผัดกับน้ำมันหมูให้มีรสชาติหวานอ่อนๆ หัวไชโป๊วหอมผัดน้ำมันหมู นำหัวไชโป้วเจ้าดังจากราชบุรีไปผัดกับน้ำตาลมะพร้าว ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและเกลือ ผัดจนกระทั่งได้เส้นหัวไชโป้วที่มีความวาวใส สวยงาม กรุบกรึบ ๗. หมูฝอยกรอบทอด สด ใหม่ ๘. ไข่เค็มซุปแป้งทอด…
มีคำกล่าวมากมายเกี่ยวกับบ้าน บ้านคือพื้นที่แห่งชีวิต คือหัวใจและจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ดั่งพันธุ์ไม้อันอุดมสมบูรณ์ และยิ่งไปกว่านั้น บ้านคือพื้นที่แห่งการดำรงชีวิต อันเผยถึงรสนิยม.. แบรนด์ SIRIVANNAVARI นำเสนอ SIRIVANNAVARI MAISON เป็นครั้งแรกในปี 2010 เพื่อถ่ายทอดนิยามแห่งการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ คำว่า ‘เมซง’ (Maison) หรือ ‘บ้าน’ ในภาษาฝรั่งเศส คือ พื้นที่แห่งรสนิยมและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เป็นเจ้าของ ที่รอเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน ให้ได้สัมผัสกับศิลปะผ่านทุกท่วงทำนองแห่งการใช้ชีวิต ส่วน ‘Fleur’ หมายถึง ‘ดอกไม้’ ที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเรา ในปี 2024 ดอกไม้นั้นได้ผลิบานไปสู่การสร้างสรรค์คอลเลคชั่น ‘Maison des Fleurs’ จาก SIRIVANNAVARI Maison ซึ่งประกอบด้วยชุดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และเครื่องหอมในบ้าน จัดทำขึ้นในแบบลิมิเต็ด เอดิชั่น รังสรรค์จากเซรามิคโบนไชน่า (Bone China) ที่มีความประณีต คุณภาพระดับพรีเมี่ยม เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารอันหรูหราไปอีกขั้น โดยความพิเศษสุดอยู่ที่ลายพิมพ์ภาพวาดฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา องค์ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ (Creative Director) แห่งแบรนด์ SIRIVANNAVARI ซึ่งวางลายประทับอย่างวิจิตรบรรจง ลงบนชุดเครื่องใช้ ได้แก่ จานอาหาร 3 ขนาด, แก้ว mug, แก้วช็อต Espresso และแก้วชา พร้อมจานรอง นอกจากนี้มีเทียนหอมในแก้วเซรามิคและ Diffuser ในขวดแก้ว ที่ตกแต่งด้วยพู่ประดับอันงดงาม สำหรับกลิ่นหอมมี 4 กลิ่น คือ Rosé, Romantic Peach, Lavender Breeze และ Jardin Secret ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศอันหรูหราภายในบ้าน ผ่อนคลาย และหวนรำลึกถึงความทรงจำอันมีค่าในทุกช่วงจังหวะชีวิต วางจำหน่ายในกล่องหรูหรา พร้อมมอบเป็นของขวัญในทุกวาระพิเศษ หรือเติมความรื่นรมย์ให้กับโต๊ะอาหารสุดหรู และในทุกมุมของบ้าน ลวดลายบนทุกผลิตภัณฑ์ชุดพิเศษนี้ ตกแต่งด้วยลวดลายในโทนสีฟ้า ตัดกับเซรามิคโบนไชน่าสีขาวงาช้าง ประณีตเงางาม และแต้มด้วยสีทองอันเลอค่า…
อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผนึก เชลล์ชวนชิม สัญลักษณ์แห่งความอร่อยที่เข้าใจรสชาติของคนไทยอย่างยาวนานกว่า 62 ปี เปิดบิ๊กอีเวนต์ “อิมแพ็ค x เชลล์ชวนชิม” จัดเต็ม 50 ร้านเด็ดสุดฟิน เสิร์ฟความอร่อยถึง 10 วัน รวมสตรีทฟู้ดร้านดังทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.-7 เม.ย.67 ณ ลานหน้า อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี คาดมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 100,000 คน นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี กล่าวว่า อาหารไทยถือเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่สร้างชื่อให้ประเทศไทย โดยเฉพาะร้านอาหารกลุ่มสตรีทฟู้ด (Street Food) ที่ได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งในไทยมีสัญลักษณ์แห่งความอร่อยที่เข้าใจรสชาติของคนไทยอย่างยาวนานกว่า 62 ปี ภายใต้ชื่อ เชลล์ชวนชิม ถือเป็นเครื่องหมายที่นักชิม และผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารให้การยอมรับและเชื่อมั่นในร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมายนี้ ปัจจุบันมีร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมาย เชลล์ชวนชิม ในหลากหลายประเภท อาทิ ร้านอาหารไทย ร้านอาหารนานาชาติ ร้านอาหารจีน คาเฟ่ขนมหวาน เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคอาจจะไม่มีโอกาสสัมผัสรสชาติความอร่อยของทุกร้านได้หมด เนื่องจากมีจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้น อิมแพ็ค เมืองทองธานี จึงได้จับมือร่วมกับ เชลล์ชวนชิม จัดงาน “อิมแพ็ค x เชลล์ชวนชิม” จัดเต็ม 50 ร้านเด็ดสุดฟิน เสิร์ฟความอร่อย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารและสร้างประสบการณ์แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้ได้สัมผัสวัฒนธรรมทางอาหารที่หลากหลาย รวมถึง สตรีทฟู้ด อันเป็นเอกลักษณ์ของไทย ด้วยการรวบรวมร้านเด็ดร้านดังจาก 50 ร้านทั่วประเทศ มาเสิร์ฟเมนูความอร่อย ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม -7 เมษายน 2567 ณ ลานหน้า อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 100,000 คน ตลอดระยะเวลา 10 วันของการจัดงาน ขณะเดียวกันการจัดงานนี้ถือเป็นอีเวนต์ที่ดีต่อโลก โดยมีแนวทางบริหารจัดการขยะ เศษอาหารที่ได้มาตรฐานและสร้างการมีส่วนร่วมให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน พร้อมปลูกฝังพฤติกรรมการแยกขยะ ซึ่งเศษอาหารที่เหลือจากการจัดงาน จะถูกแปลงเป็นปุ๋ย ด้วยเครื่องย่อยอาหาร (Food Waste Composer) เพื่อย่อยสลายขยะอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์และนำไปใช้บำรุงต้นไม้โดยรอบพื้นที่อิมแพ็ค เมืองทองธานีต่อไป นางสาวอรอุทัย ณ เชียงใหม่…
โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมสัมผัสประสบการณ์แห่งมื้ออาหารชั้นเลิศ ที่ทางโรงแรมได้ร่วมมือกับ โรงแรมไอคอน ฮ่องกง (Hotel ICON) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านอาหารมื้อพิเศษที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยเชฟมากประสบการณ์ ณ ห้องอาหารไบยุน โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ และเทศกาลอาหารไทย ณ ห้องอาหารเดอะมาเก็ต (The Market) โรงแรมไอคอน ฮ่องกง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมแห่งมื้ออาหารนี้เริ่มต้นด้วยเทศกาลอาหารไทย (Thai Food Influence Festival) ซึ่งเป็นการร่วมสร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษระหว่างเชฟเรณู หัวหน้าเชฟอาหารไทย จากโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ และ เชฟ แดนนี่ โฮ (Danny Ho) เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ (Executive Chef) จากโรงแรมไอคอน ฮ่องกง โดยมีการเลือกสรรเมนูอาหารไทยทางภาคเหนือหลายหลายเมนูมานำเสนอในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ ณ ห้องอาหารเดอะมาเก็ต ให้แขกทุกท่านได้ร่วมสัมผัสกลิ่นอายความเป็นไทยไปด้วยกัน ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม – 30 เมษายน 2567 ณ โรงแรมไอคอน ฮ่องกง ในส่วนของห้องอาหารไบยุน ขอนำเสนอ “4-Hand Symphony of Cantonese Flavours” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 22 มีนาคม 2567 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างเชฟชิ คิ หว่อง (Chi Ki Wong) ที่บินลัดฟ้ามาจากห้องอาหารอะโบฟ แอนด์ บียอนด์ (Above & Beyond) โรงแรมไอคอน ฮ่องกง และเชฟไซม่อน จากห้องอาหารไบยุน โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ ผู้คร่ำหวอดในการทำอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งที่จะมาร่วมรังสรรค์ชุดเมนูสุดพิเศษทั้ง 8 คอร์ส ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคนิคการทำอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งแบบต้นตำรับสอดแทรกด้วยกลิ่นอายความเป็นไทยที่ลงตัว หลังสิ้นสุดโปรโมชั่น ณ กรุงเทพมหานคร เชฟหว่อง และ เชฟไซม่อน จะเดินทางต่อไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์เมนูอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งเหนือระดับ เปิดประสบการณ์ดินเนอร์สุดพิเศษแก่ชาวภูเก็ตเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 26 – 28 มีนาคม 2567 ณ ห้องอาหารเวญ่า (Veya) ซึ่งโดดเด่นในการนำเสนออาหารเอเชียหลากหลายชนิด ทั้งยังให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศอีกด้วย ด้วยความเชี่ยวชาญในการทำเมนูอาหารจีนมากว่า 20 ปี เชฟหว่อง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ (Executive Chef) ประจำห้องอาหาร Above & Beyond ห้องอาหารจีนสไตล์กวางตุ้ง…
มารี กีมาร์ ขอแนะนำเมนูต้อนรับฤดูร้อนกับข้าวแช่ตำรับ ‘มารี กีมาร์’ ๒๕๖๗ รังสรรค์โดย ‘เชฟปิ๊ก คณิน สินพันธ์’ ที่จะนำพาทุกท่านได้สัมผัสรสชาติอันปราณีต และสัมผัสความดั้งเดิมของอาหารไทยโบราณที่สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น ต้อนรับฤดูร้อนด้วยเมนูสุดพิเศษกับข้าวแช่ตำรับ ‘มารี กีมาร์’ ๒๕๖๗ ที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่จาก ‘เชฟปิ๊ก’ เชฟรุ่นใหม่หัวใจโบราณ ซึ่งจะนำพาทุกท่านได้สัมผัสกับรสชาติโบราณแท้ ๆ ที่หาทานได้ยาก พร้อมให้ลิ้มรสชาติอันวิจิตร ตราตรึงใจของข้าวแช่ หนึ่งในเมนูอันเป็นเอกลักษณ์ของร้านมารี กีมาร์ อีกทั้งยังปราณีตบรรจงในทุกขั้นตอนการทำ และการเสิร์ฟของร้านมารี กีมาร์จะเสริร์ฟให้ได้ลิ้มรสชาติทั้งหมด ๓ สำรับ ได้แก่ สำรับแรก: ‘แตงโมหน้าปลาแห้ง’ ของว่างคลายร้อนที่ขึ้นชื่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยต้องเลือกแตงโมเนื้อดี มีรสชาติหวานเพื่อรับประทานคู่กับปลาแห้ง โดยเราคัดสรรแตงโมมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี และใช้ปลาช่อนแดดเดียวจากจังหวัด สิงห์บุรี นำปลามาย่างด้วยเตาถ่าน ก่อนโขลกให้ฟู และนำขึ้นผัดให้แห้ง ปรุงรสด้วยน้ำตาลดอกมะพร้าวจากจังหวัดสมุทรสงคราม ดอกเกลือ และหอมเจียว สำรับที่สอง: ‘ชุดข้าวแช่’ ที่ประกอบด้วยเครื่องเคียง ๘ อย่าง อันได้แก่ ๑. ลูกกะปิหอมชุบไข่ทอด รับประทานพร้อมกับกระชายอ่อนที่สลักเป็นดอกจำปาเหลืองนวล ๒. หอมแดงสอดไส้ปลา ๓.พริกชี้ฟ้าแห้งสอดไส้ปลา ๔. พริกหยวกไส้หมูผัดกุ้งห่อไข่ อันเป็น เอกลักษณ์ของ มารี กีมาร์ ที่หมูเมื่อผัดกับกุ้ง จะมีเนื้อที่ร่วนหอม ๕. ปลาช่อนแดดเดียวฉาบ ๖. หัวไชโป๊วซอยเป็นเส้นและนำมาผัดกับน้ำมันหมูให้มีรสชาติหวานอ่อนๆ ๗. หมูฝอยกรอบทอด สด ใหม่ ๘. ไข่เค็มซุปแป้งทอด ทานแนมด้วย มะม่วงเขียวเสวย ต้นหอมกระชายอ่อน และแตงกวา สำหรับน้ำข้าวแช่ เชฟปี๊กเลือกใช้เป็น “น้ำแร่” จากอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นแหล่งน้ำแร่ที่มีอายุเก่าแก่ นำมาต้มสุก และทิ้งไว้ให้เย็นในโอ่งดิน ก่อนนำมาลอยด้วยดอกไม้หอม ๔ ชนิด ทั้งชมนาด กระดังงาสงขลา กุหลาบมอญสีชมพู และ ดอกมะลิตูม หลังจากนั้นก็ทำการอบควันเทียนให้หอม สำหรับตัวข้าวนั้น เชฟปี๊กรังสรรค์เลือกใช้ข้าวเจ๊กเชย จากจังหวัดสระบุรี…
เคทีซีตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีบัตรเครดิต เปิดตัว “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” ครั้งแรกในไทยกับนวัตกรรมความปลอดภัยขั้นกว่าทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ เอาใจสมาชิกสายออนไลน์ด้วยฟีเจอร์ Digital First และ Dynamic CVV เปิดให้สมาชิกเลือกรับบัตรพลาสติกใสไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตรและแถบแม่เหล็ก ไร้กังวลจากการถูกโจรกรรมข้อมูลสำคัญ พร้อมพัฒนาช่องทางสมัครบัตรฯ ด้วยตัวเองผ่านแอป KTC Mobile และช่องทางออนไลน์ มั่นใจสิ้นปีมีจำนวนสมาชิกถือบัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัลไม่ต่ำกว่า 100,000 ใบ นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี”หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการศึกษาพฤติกรรมสมาชิกพบว่ามีการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์สูงขึ้นทุกปีและคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสัดส่วนจำนวนรายการใช้จ่ายออนไลน์ทั้งสิ้นประมาณ 55% ของยอดรายการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ทั้งพอร์ต และสิ่งที่เป็นกังวลที่สุดของสมาชิกคือเรื่องความปลอดภัยในการใช้บัตรฯ ที่สมาชิกต้องกรอกข้อมูลสำคัญบนหน้าบัตรฯ ให้กับร้านค้าออนไลน์ หรือเมื่อต้องยื่นบัตรฯ ให้กับร้านค้ากรณีชำระค่าสินค้าและบริการ เพื่อให้สมาชิกผู้ถือบัตรฯ รู้สึกปลอดภัยเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เคทีซีจึงได้เปิดตัว “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” (KTC DIGITAL CREDIT CARD) นวัตกรรมของความปลอดภัยขั้นกว่าครั้งแรกในประเทศไทยด้วย 3 จุดเด่น ดังนี้ 1) Digital First สมาชิกสามารถใช้จ่ายได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติกับการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการสแกนจ่ายด้วย QR Pay และผูกบัตรฯ กับระบบชำระเงินบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กูเกิล เพย์ (Google Pay) หรือสวอทช์ เพย์ (Swatch Pay) เป็นต้น 2) Dynamic CVVตัวเลขหลังบัตรฯ ที่เป็นรหัสความปลอดภัย จะเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการร้องขอ และสามารถใช้งานได้ภายใน 24 ชั่วโมงต่อการขอ 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนการขอ) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกเมื่อใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์หรือผูกบัตรฯ ที่ร้านค้าออนไลน์ ด้วยเลขหลังบัตร (CVV) เพื่อยืนยันการชำระค่าสินค้าหรือบริการ 3) Numberless Card บัตรพลาสติกใสโปร่งแสง ไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตร และไร้แถบแม่เหล็ก เพื่อเสริมความปลอดภัยเมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ร้านค้าทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวบนหน้าบัตรฯ ขณะที่นางสาวสุชชวี บรรจบดี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดดิจิทัล“เคทีซี”หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดตัว “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” ในครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับสมาชิก ด้วยจุดเด่นความเป็น Digital First จึงสามารถตอบโจทย์สมาชิกที่นิยมใช้จ่ายออนไลน์ด้วยความปลอดภัยขั้นสุด แต่หากสมาชิกต้องการบัตรพลาสติกก็สามารถแสดงความประสงค์ขอรับบัตรฯ ผ่านแอป KTC Mobile ได้ด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่โหลดแอป KTC Mobile ทั้งสิ้น ประมาณ…