หลังจากพักการให้บริการชั่วคราวเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ห้องอาหารโวลติ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ จะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2566 ด้วยแนวคิดใหม่ “อาหารย่างในสไตล์ทัสคาน” ที่คุณพลาดไม่ได้ ห้องอาหาร “โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์” โฉมใหม่ นำเสนอความอร่อยจากเนื้อคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก นำมาปรุงในสไตล์ทัสคานแท้ด้วยการรมควันและย่างด้วยเตาถ่าน เริ่มจากเนื้อชั้นเยี่ยมอย่างเนื้อวากิวสายพันธุ์เลือดแท้ 100% (A5) ซึ่งเป็นเนื้อวากิวเกรดสูงสุดที่หายากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเนื้อแองกัสออสเตรเลีย (MBS3+) ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของเนื้อแองกัสจากเมืองดาร์ลิงดาวน์ รัฐควีนส์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นเนื้อที่ได้รับรางวัลสเต็กเนื้อแองกัสที่ดีที่สุด โดยมีความโดดเด่นด้านเนื้อสัมผัสที่นุ่มและรสชาติเนื้อที่เข้มข้น อีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ได้แก่ F1 วากิว (MBS7+) ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดสำหรับเนื้อออสเตรเลียน F1 วากิว เนื้อที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี พร้อมนำมาย่างบนเตาถ่านชาร์โคลที่ออกแบบโดยชาวออสเตรีย ราดด้วยไขมันวากิวหมักด้วยขิง และเสิร์ฟบนถาดเกลือหิมาลายัน เพื่อให้เนื้อสเต็กจะยังคงอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง ทุกท่านสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศภายในห้องอาหารที่มีการตกแต่งในสไตล์อิตาเลียนร่วมสมัย สุดชิคในขณะชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยาและสระว่ายน้ำอันแสนร่มรื่นของโรงแรมฯ พร้อมจิบหลากหลายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ในบรรยากาศสบายๆ ของเลานจ์ และบาร์ที่ชั้น 1 และชั้น 3 ของห้องอาหาร ตื่นตาไปกับทักษะการปรุงอาหารของทีมพ่อครัวมืออาชีพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลในรสชาติของอาหารทุกจานที่ทุกท่านสามารถรับชมได้จากครัวเปิดขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 ของห้องอาหาร ในขณะที่กำลัง อิ่มอร่อยไปกับอาหารจานโปรด โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งพร้อมด้วย บรูโน เฟอร์รารี หัวหน้าพ่อครัว อิตาเลียนคนใหม่ เชฟบรูโนได้รับเลือกให้เป็น “เชฟและเจ้าของห้องอาหารรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศอิตาลี” โดยมิชลินไกด์ ประเทศอิตาลี และเขายังได้รับดาวมิชลินดวงแรกในปี พ.ศ. 2551 จากห้องอาหารเวียนตูริน (Wien Turin) ในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ “โวลติให้ความสำคัญกับการเป็นตัวจริง เราภูมิใจที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นเมนูของโวลติจึงประกอบไปด้วยเนื้อเกรดพรีเมียมไปจนถึงส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั้งในและต่างประเทศ ส่วนประกอบแต่ละอย่างของแต่ละเมนูล้วนทำขึ้นเอง ตั้งแต่เส้นพาสต้า ไปจนถึง ลิมอนเชลโลที่ผสมขึ้นเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มที่เสิร์ฟเมื่อจบมื้ออาหารที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในทุกองค์ประกอบที่ทีมเชฟของเราทุ่มเทให้กับอาหารทุกจานที่เสิร์ฟให้กับแขกของเรา” เชฟบรูโนกล่าว นอกจากนี้ โวลติ ยังนำเสนอรายการไวน์นานาชนิดให้ทุกท่านได้เลือกลิ้มลองโดยได้รวบรวมไวน์ที่ดีที่สุดของประเทศอิตาลี คราฟต์เบียร์ที่ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถัน และสำหรับท่านที่ยังไม่จุใจกับรสชาติอาหารรมควัน …
Author: Kittin Assavavichai
กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 6 พฤษภาคม 2566 – Bijoux de Beurre Echire ร้านเบเกอรี่ที่ใช้เนยของ Echire อัญมณีแห่งเนยฝรั่งเศสอันหรูหรา มาถึงกรุงเทพฯ แล้ว พร้อมจำหน่ายให้บริการแล้วที่โครงการ Earth Ekkamai เชฟที่ได้รับการฝึกฝนฝีมือมาอย่างโชกโชน ได้นำความหลงใหลในขนมอบฝรั่งเศสมาสู่กรุงเทพฯ และใช้ส่วนผสมที่ดีที่สุด รวมถึง Bijoux de Beurre Echire เพื่อสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกของเขา รสชาติและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเนยได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของขนมอบของร้าน ซึ่งรวมถึงครัวซองต์ แปงโอช็อกโกแลต บริยอช และขนมฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมอื่นๆ Bijoux de Beurre Echire ทำจากครีมคุณภาพสูงสุดและปั่นโดยใช้วิธีการดั้งเดิมที่สมบูรณ์แบบตลอดหลายศตวรรษในหมู่บ้าน Echire ของฝรั่งเศส เนยมีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แบบฝรั่งเศสอย่างไม่มีที่ติ และกลายเป็นสิ่งที่ต้องมีในครัวสำหรับผู้ชื่นชอบอาหารและเชฟทั่วโลก เนย Bijoux de Beurre Echire เป็นเนยคุณภาพสูงที่หากใครเป็นนักชิมตัวยงหรือเชฟแนวหน้าย่อมรู้จัก จึงเหมาะสำหรับใช้ในร้านอาหารระดับไฮเอนด์และร้านขายอาหารกูร์เมต์ ปริมาณไขมันสูงของเนยช่วยให้มั่นใจได้ว่าเนยมีความเป็นครีมและเรียบเนียน มีรสชาติที่ละเอียดอ่อนแต่แตกต่างซึ่งช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารทุกจาน “เรามีความยินดีที่ได้เห็น Bijoux de Beurre Echire ถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ขนมอบอันประณีตเช่นนี้ในกรุงเทพฯ” โฆษกของสหกรณ์โคนม Echire กล่าว “มันเป็นข้อพิสูจน์ถึงคุณภาพและความอเนกประสงค์ของเนยของเรา และเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การทำอาหารที่ร้านขนมอบแห่งนี้นำเสนอ” ร้านขนมตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เปิดทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น. หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์หรือติดต่อโดยตรง ติดต่อ:Bijoux de Beurre Echire กรุงเทพฯที่อยู่: Earth Ekamai ซอยสุขุมวิท 63 แขวงคลองตัน เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110รับบัตรเครดิต VISA และ Master Cardเปิดบริการ 09.00-18.00 น.Bijouxdebeurre.Echire/โทรศัพท์: +66 94520-6644 Kin News Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ…
ห้องอาหารคิซาระ ห้องอาหารญี่ปุ่นชื่อดังของโรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ ขอเสนอโปรโมชั่นเทปปันยากิสุดคุ้ม ส่วนลด 50% สำหรับคนที่ 2 เพียงแจ้งรหัสส่วนลด “50%OffOn2” เมื่อใช้โปรโมชั่นนี้กับเซ็ตเมนูคิซาระ เทปันยากิ มื้อกลางวัน KiSara Teppanyaki Lunch Set และเมนูคิซาระเทปันยาไคเซกิมื้อเย็น KiSara Teppan Kaiseki Dinner โดยส่วนลด 50% ที่สามารถใช้ได้กับท่านที่ 2 จะใช้ได้กับเซ็ทเมนูเดียวกัน หรือเซ็ทเมนูที่ถูกกว่า ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://conradbangkok.shop/kisara/ สำหรัเมนูมื้อกลางวัน KiSara Teppanyaki Lunch Set ประกอบด้วยเซ็ตเมนูหลายหลาย เช่น เนื้อสันในนิวซีแลนด์ เนื้อสันในวากิว A4 หรือเนื้อสันนอก ปลาแซลมอน หอยเชลล์ หอยนางรม ไก่ และสันนอกหมูคุโรบุตะ ในราคาเริ่มต้นที่ 800 บาท เซ็ทเมนูนี้จะเสิร์ฟพร้อมสลัด ข้าวผัดกระเทียม ซุปมิโซะ ผักดอง และผลไม้ตามฤดูกาล สำหรับช่วงดินเนอร์ KiSara Teppan Kaiseki Dinner จะมีหลากหลายคอร์สเมนู เช่น สลัดแซลมอนกับโฟมซุปโบนิโตและน้ำสลัดยูสุ นอกจากนี้ยังมีแซลมอนย่างเทอริยากิ ไก่เทอริยากิพร้อมอาหารทานเล่นต่างๆ รวมถึง ซาซิมิ อาหารจานหลักสามารถเลือกทานได้ระหว่าง ซูชิ ชิราชิด้ง อูนาด้ง และ เทนด้ง ผลไม้ตามฤดูกาล เสิร์ฟพร้อม มาการองราสเบอร์รี่ มูสช็อกโกแลตมัทฉะ หรือไอศกรีมมัทฉะ โดยเซ็ทเมนูนี้จะมีราคาเริ่มต้นที่ 2,188 บาท++ อิ่มอร่อยไปกับเมนูเทปปันยากิของห้องอาหารคิซาระ ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ห้องอาหารคิซาระ เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.30 น. – 14.30 น. สำหรับมื้อกลางวัน และ 18.00 น. – 22.00 น.…
Busted! (บัส-เต็ท) ร้านอาหารที่ออกแบบสไตล์ฟู้ดบัสแห่งแรกในกรุงเทพฯ โดยรถบัสนี้จอดอยู่ที่ ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ แลนด์มาร์กสำหรับคนรักกีฬาและความบันเทิงครบวงจร ร้านอาหารแบบสแตนด์อโลนแห่งนี้นำเสนอการผสมผสานระหว่างบาร์บีคิวสไตล์อเมริกัน และอาหารไทยยอดนิยม ในภูมิทัศน์ร่มรื่น เหมาะกับคนรักสัตว์เลี้ยง และเหมาะสำหรับครอบครัวมาใช้ช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน Busted! ฟู้ดบัสที่ ‘จอด’ อยู่ใน ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ พร้อมแล้วที่จะมาสร้างความตื่นเต้น และชวนเพลิดเพลินไปกับดนตรีตลอดทั้งวัน และวิวเขียวขจีของมินิกอล์ฟ พื้นที่ที่ต้อนรับสัตว์เลี้ยงแห่งนี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังย่างบาร์บีคิวในสวนหลังบ้าน และเป็นอีกหนึ่งในจุดถ่ายรูปลงอินสตาแกรมเก๋ๆ ที่ ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ ไม่ว่าคุณจะต้องการดื่มไวน์สักแก้ว หรือชื่นชมความร่มรื่น พร้อมรับประทานอาหารรสเลิศที่ Busted! นับเป็นจุดลับของนักชิมที่ทุกคนต้องห้ามพลาด! อาหารเสิร์ฟที่ Busted! เป็นการผสมผสานระหว่างบาร์บีคิวสไตล์อเมริกันดั้งเดิม และอาหารไทยที่มีรสชาติจัดจ้าน พร้อมด้วยกลิ่นสมุนไพร กลิ่นหอมรมควัน ความเปรี้ยวหวานกำลังดี อีกทั้งเตรียมตื่นตากับเมนูใหม่ ได้แก่ เมี่ยงคำหมูรมควัน หมูแดดเดียว ปลาหมึกผัดพริกมะนาว และต้มแซ่บหมู และที่พลาดไม่ได้คือ อาหารจานโปรดตลอดกาลของฟู้ดบัส Busted! ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัว และเพื่อนฝูง อันได้แก่ ซี่โครงหมูบาร์บีคิวรมควันที่หอมกรุ่นจากไม้มะม่วงและไม้ลิ้นจี่ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่ว และอาหารทะเลรสเผ็ดร้อน รวมถึง โทมาฮอว์ค ออน ไฟร์ อีกด้วย แดเนียล บูเฮอร์ เอ็กเซกคลูทีฟเชฟ และผู้จัดการความยั่งยืนด้านอาหารของ ท็อปกอล์ฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “Busted! เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เราอยากให้คนไทยได้ลิ้มลอง เนื่องจากแนวคิดการทำฟู้ดบัสเป็นเรื่องใหม่ในกรุงเทพฯ เราได้ตั้งใจคัดวัถุดิบที่ยอดเยี่ยม เพื่อคิดค้นเมนูใหม่ที่ Busted! โดยเน้นการรมควันและเทคนิคการทำบาร์บีคิวที่เราถนัด เราอยากให้ทุกคนได้เพลิดเพลินกับอาหารและบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม ในการจิบค็อกเทล ไวน์ หรือเบียร์กับเพื่อนๆ และครอบครัวของคุณ”Busted! ได้รับแรงบันดาลใจ โดยออกแบบจากบริษัทรถโดยสารแห่งแรกในประเทศไทย และยังเป็นแบบจำลองที่สร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะกับแนวคิดของร้านอาหารฟู้ดบัส ซึ่งมีที่นั่งทั้งโซนกลางแจ้ง และในร่ม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ มู้ดแอนด์โทนของรถบัสยังมีความทันสมัย ตกแต่งแบบมีสไตล์ ซึ่งสามารถมองเห็นเชฟได้ และเชฟก็สามารถพูดคุยกับลูกค้าได้เช่นกัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรกับครอบครัว พบกับร้าน Busted! ได้ที่ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ ชั้น 1 ใกล้กับ The Puttyard เปิดให้บริการ…
ใครที่กำลังมองหาร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพชั้นยอด รวมถึงรสชาติอาหารที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วมีความสุขในทุกคำที่รับประทาน และมาพร้อมกับราคาที่สมเหตุสมผล “ลา บาเช่” กริลล์เฮ้าส์แอนด์ไวน์บาร์ (La Brace Grill House & Wine Bar) มีระดับเปิดใหม่ที่ เอิร์ธเอกมัย (Earth Ekamai) ไลฟ์สไตล์มอลล์ล่าสุดบนถนนเอกมัย คือ คำตอบที่เหล่ากูร์เมต์คนรักอาหารทั้งนักชิมและนักดื่มในยุคนี้ สามารถสัมผัสและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง “La Brace” เป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง “ถ่านที่กำลังคุ” สื่อถึงร้านอาหารที่ให้ความสำคัญกับการย่างหรือกริลล์ด้วยเตาถ่าน ดังนั้นร้าน “ลา บาเช่” ที่ Earth Ekamai จึงเป็นกริลล์เฮ้าส์ที่ภูมิใจนำเสนออาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนรูปแบบแคชชวลไฟน์ไดนิ่ง (Casual Fine Dining) ที่เน้นการกริลล์หรือการย่างด้วยเตาถ่าน ตัวเตาได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ สะอาด ถูกสุขอนามัย ใช้ถ่านที่ผลิตจากไม้คุณภาพดีในการย่าง และมีทีมเชฟที่ชำนาญการย่าง สามารถย่างเนื้อวัวเกรดพรีเมียมจากส่วนต่างๆ ของวัวที่มีขนาดและความหนาที่แตกต่างกันให้ได้ทั้งรสชาติ ความอร่อย และความสุกตามระดับที่ต้องการ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และวิถีการรับประทานอาหารของเหล่ากูร์เมต์ยุคดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ “ลา บาเช่” ให้ความสำคัญในเรื่องวัตถุดิบคุณภาพสูงเป็นลำดับแรก อาทิ เนื้อวัวเกรดพรีเมี่ยมจากออสเตรเลียแบรนด์เก่าแก่และมีชื่อเสียงอย่าง Westholme และ Stockyards ซี่โครงแกะจากแบรนด์ Ambassador, ซีฟู้ดจากแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียงทั่วโลกทั้งยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และเอเซีย, เส้นพาสต้าจาก De Cecco แบรนด์คุณภาพอันดับ 1 ของอิตาลี, ชีสหลากหลายชนิดจาก President แบรนด์ดังของฝรั่งเศส รวมถึงวัตถุดิบอื่นๆ อาทิ ผักและผลไม้สดใหม่ ใช้หมุนเวียนตามฤดูกาลที่ดีที่สุด ทุกอย่างได้รับการคัดสรรและสั่งตรงมาจากทั่วทุกมุมโลกโดย คุณพัชรินทร์ เหมอังกูร หรือ คุณจ้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กูร์เมท์ วัน ฟู้ดส์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) ผู้นำเข้าวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในการทำอาหารระดับพรีเมี่ยมเจ้าใหญ่ของเมืองไทย และเป็นหนึ่งในหุ้นส่วน “ลา บาเช่” เมื่อมีวัตถุดิบสุดยอด ก็ต้องมีเชฟฝีมือดีที่มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำวัตถุดิบแต่ละชนิดมาปรุงเป็นเมนูอร่อยที่โชว์คุณภาพของวัตถุดิบ เรื่องนี้ คุณจ้อที่ทำงานคลุกคลีกับโรงแรมระดับ 5 ดาว และร้านอาหารประเภทไฟน์ไดนิ่งในเมืองไทยมากว่า…
Chef : Reanu : 04 2023 Story : Pitsinee A. / Photo : Pol.Capt. Kittin A เดือนเมษายนนี้ โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ ขอนำเสนอ “ข้าวแช่” ณ ห้องอาหารไทยแซฟฟรอนและห้องอาหารร่มไทร เมนูคลายร้อนยอดนิยมต้อนรับเทศกาลปีใหม่ไทย ก่อนเข้าสู่เมนูข้าวแช่แสนสดชื่น มาพบกับอาหารเรียกน้ำย่อยกันก่อนค่ะ เมนูนี้ห้องอาหารจะคอมพลิเมนทารี่มาให้กับทุกโต๊ะ นั้นก็คือข้าวตังหน้าตั้ง โดยวิธีการรับประทานเราจะต้องเริ่มจากด้านขวามือก่อนแล้วไล่ไปทางซ้าย ทั้งนี้เพื่อที่เครื่องเคียงจะค่อยๆ เพิ่มความเข้มของรสชาติมากขึ้นไป ทำให้รสชาติไม่โดดกันไปมานั่นเองค่ะ มากันที่เครื่องดื่มแสนสุดชื่น มื้อนี้พระอาทิตย์ยังสดสว่างเราเลยเลือกสั่งเป็นม๊อคเทลค่ะ นั้นก็คือ สุดสวย และ เจ้าช่อมาลีค่ะ ก่อนจะเข้าสู่เมนูเข้าแช่ดิฉันสั่งของกินเล่มมา 2 จานค่ะ อร่อยทั้ง 2 จานเลยค่ะ เป็นเมนูไทยฟิวชั่นที่รูปทรงสวย นำเสนอมาน่าสนใจดี รสชาติที่ถูกปากคนไทยต่างชาติกินได้ แต่ต้องระวังอย่ากัดพริกขี้หนูสดเข้าไปนะคะ และสองเมนูที่ว่า ได้แก่ แสร้งว่า กับหลนปูนิ่มค่ะ โดยเริ่มกันที่แสร้งว่าปูค่ะ เมนูแสร้งว่าปู ต้องเกรินกันก่อนว่าเมนู แสร้งว่าเดิมนั้นเป็นเมนูตำรับเก่าที่อร่อยด้วยมันกุ้ง ปรุงอย่างไตปลา หากเอ่ยถามความหลากหลายในประเภทอาหารไทย นอกจากแกง สำหรับฉันแล้วคงนึกถึงน้ำพริก เครื่องจิ้ม ที่มีความหลากหลายเฉพาะถิ่นเอามากๆ ขนาดที่ว่า ลองเช็กลิสต์กันทั้งชีวิตก็ไม่รู้จะกินได้ครบทุกชนิดหรือเปล่า บางชนิดนี้ไม่รู้จักหรือคุ้นชื่อเลยด้วยซ้ำ ผิดกับแสร้งว่า เครื่องจิ้มที่หลายคนคุ้นชื่อดี เพราะท่องกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ในคาบเรียนภาษาไทยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยได้กิน ‘ไตปลาเสแสร้งว่า ดุจวาจากระบิดกระบวนใบโศกบอกโศกครวญ ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ’ น้ำพริก เครื่องจิ้ม นั้นมีความหลากหลายจากวัตถุดิบเฉพาะถิ่น วิธีการปรุง ไปจนถึงการกิน เช่น เป็นน้ำพริกแห้ง น้ำพริกผัด น้ำพริกใสๆ แต่ละชนิดเหมาะกินเฉพาะกับผักสด ผักต้ม ผักลวก ผักเผา ผักทอด แนมปลาย่าง ปลาฟู ฯลฯ ความชาญฉลาดในการหาอยู่หากิน หยิบจับวัตถุดิบใกล้ตัวมาปรุงอาหารของคนสมัยก่อน จึงไม่ใช่แค่ความอิ่มท้อง แต่หมายรวมถึงการจับคู่รสให้เหมาะสม แสร้งว่าปูนี้มีการดัดแปลงใหม่ให้กินง่ายและน่าสนใจโดยนำเสนอเป็นคำเล็กๆ แบ่งใส่ในโคนจิ๋วกรอบๆ เปลี่ยนการใช้เนื้อกุ้งเป็นปู และออนท๊อปด้วยคาร์เวียร์ค่ะ มาต่อกันอีกเมนูค่ะ หลนปูที่ไม่ธรรมดา เป็นการนำเสนอหลนปูที่กินพร้อมกับโรสปอเปี๊ยะสด…
เทศกาลอาหารคลายร้อนรับซัมเมอร์กลับมาเยือนอีกครั้ง จิม ทอมป์สัน เปิดตัวเมนูเอ็กซ์คลูซีฟในตำนาน “ข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน” ชวนทุกคนมาเปิดประสบการณ์การลิ้มรสสำรับของหวานชาววังอันเปี่ยมเรื่องราว พร้อมดื่มด่ำความหอมเย็นสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่เสิร์ฟในชุดสำรับทองเหลืองตามวิถีไทยโบราณ ชุดข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน ประกอบด้วยข้าวแช่ลอยในน้ำดอกมะลิหอมละมุน พร้อมเครื่องเคียง 7 ชนิดที่รังสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบชั้นเลิศและเทคนิคการปรุงอย่างประณีตบรรจงอันเป็นสูตรเฉพาะของจิม ทอมป์สัน เมนูพิเศษประจำฤดูร้อน “ข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน” พร้อมเสิร์ฟที่ JT Café ที่เดียวเท่านั้น จิม ทอมป์สัน ขอเชิญชวนสาวกข้าวแช่ ตลอดจนเหล่านักชิม และผู้หลงใหลเสน่ห์ของอาหารไทยโบราณอันเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรม มาสัมผัสความสดชื่นหอมอบอวลของข้าวแช่ลอยน้ำมะลิ เคียงคู่มากับเครื่องเคียง 7 ชนิดที่มาเติมเต็มรสชาติและสัมผัสที่หลากหลายลงตัว ทุกองค์ประกอบของข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันจากวัตถุดิบออร์แกนิกระดับพรีเมียม ภายใต้การปรุงรสที่ประณีตบรรจงในทุกขั้นตอน ชุด “ข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน” มีให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 9 พฤษภาคม 2566 ในจำนวนจำกัดเพียงวันละ 30 ชุด ข้าวแช่ เป็นสำรับคลายร้อนของชาวไทยมาแต่โบราณ นับเป็นอาหารที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเอกลักษณ์สำคัญของข้าวแช่อยู่ที่รสสัมผัส กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนการเป็นตัวช่วยคลายร้อนในวันที่แสนอบอ้าวของคนไทยสมัยก่อน แต่เดิมแล้ว ข้าวแช่ เข้ามาในสยามผ่านชาวมอญ โดยข้าวแช่ เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวมอญที่ประกอบด้วยข้าวหอมมะลิหุงสุกอบน้ำดอกไม้ และรับประทานคู่กับเครื่องเคียงอาหารคาวต่าง ๆ โดยเมนูดังกล่าวเริ่มเป็นที่แพร่หลายในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อเจ้าจอมผู้มีเชื้อสายมอญอย่าง เจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ถ่ายทอดการทำข้าวแช่ให้แก่บ่าวไพร่ในครัว สำรับดังกล่าวจึงกลายเป็นอาหารทรงโปรดในรัชกาลที่ 4 และเป็นที่นิยมในราชสำนักในเวลาต่อมา ชุดข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน นำเสนอข้าวอบควันเทียนและน้ำลอยดอกมะลิ ใช้ข้าวออร์แกนิกจากฟาร์มไร่ทองจ. เชียงราย นำไปนึ่งจนสุกพอดี พร้อมอบควันเทียนและดอกมะลิให้หอมฟุ้ง ข้าวแช่เสิร์ฟคู่กับชุดเครื่องเคียง 7 ชนิด ได้แก่ ลูกกะปิชุบไข่ทอด ใช้กะปิรสเลิศจากคลองโคน จ. สมุทรสงคราม หอมแดงยัดไส้ปลาช่อนผัดหวาน คัดหอมแดงโทนและคว้านเนื้อในออก ยัดไส้ปลาช่อนตากแห้งผัดหัวหอมสุกจนหวานหอม และนำไปชุบแป้งทอดเพื่อสร้างสัมผัสที่กรอบนอกละมุนใน ไชโป๊วผัดหวาน เลือกใช้ไชโป๊วจาก จ. ราชบุรี นำไปผัดกับกระเทียมและน้ำตาลทรายจนขึ้นเงา ปลายี่สนผัดหวาน ใช้ปลายี่สนจาก จ. ปราณบุรี ที่มีรสหวานตัดเค็มลงตัวและหอมกลิ่นหอมเจียว ลูกปลาเค็ม นำไก่ Free Range ผสมปลาอินทรีย์เค็มคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำไปชุบไข่ทอด พริกแห้งยัดไส้ปลาช่อน พริกแห้งผ่ายัดไส้เนื้อปลาช่อนผัดหวานแล้วนำไปชุบแป้งทอด พริกหยวกยัดไส้ คัดพริกหยวกขนาดพอดี ผ่ากลางและยัดไส้เนื้อกุ้งผสมไก่ทอดแพไข่อย่างประณีต เพื่อสร้างสัมผัสที่กรอบฟูสวยงามน่ารับประทาน ชุดข้าวแช่ และสำรับเครื่องเคียง 7 ชนิด เสิร์ฟพร้อมกับผักผลไม้สดคัดพิเศษ ทั้งมะม่วงดิบ กระชาย แตงกวา และต้นหอม พร้อมตบท้ายมื้ออร่อยด้วยเมนูของหวานขึ้นชื่อของไทยอย่าง ข้าวเหนียวมะม่วง คัดมะม่วงน้ำดอกไม้สุกหอมหวานและข้าวเหนียวมูลสูตรลับเฉพาะของจิม ทอมป์สัน ชุดข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน ราคา 792 บาท พร้อมเสิร์ฟ ที่ JT Café ณJim Thompson Art Center ชั้น 2 ซอยเกษมสันต์ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 9 พฤษภาคม 2566 ในจำนวนจำกัดเพียง 30 ชุดต่อวัน การรังสรรค์เมนูสุดพิเศษเพื่อต้อนรับฤดูร้อนตามวิถีไทยนับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของจิม ทอมป์สัน ในการนำเสนออาหารไทยรสชาติดั้งเดิม พร้อมเสริมสร้างคุณค่าด้วยการใช้วัตถุดิบออร์แกนิกระดับพรีเมียม เพื่อให้คนไทยและชาวต่างชาติได้มาสัมผัสและลิ้มรส “ข้าวแช่” ตัวช่วยคลายร้อนแสนอร่อยที่ชูวัฒนธรรมและวิถีการกินแบบไทยโบราณ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมหรือสั่งจอง ชุดข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน ล่วงหน้าได้ที่ โทร 06-5717-3395…
เดือนเมษายนนี้ โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ ขอนำเสนอ “ข้าวแช่” ณ ห้องอาหารไทยแซฟฟรอนและห้องอาหารร่มไทร เมนูคลายร้อนยอดนิยมต้อนรับเทศกาลปีใหม่ไทย สัมผัสรสชาติหวานหอมเย็นชื่นใจของข้าวแช่ต้นตำหรับที่ครบเครื่องอรรถรสทั้งคาวหวาน รังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยเชฟเรณู หอมสมบัติ หัวหน้าเชฟอาหารไทย ได้จัดเตรียมนำข้าวมาแช่ในน้ำอบควันเทียนลอยดอกมะลิหอมละมุน เสิร์ฟพร้อมสารพันเครื่องเคียง เช่น ลูกกะปิทอด หอมแดงยัดไส้เนื้อปู พริกหยวกยัดไส้กุ้ง ปลายี่สนผัดหวานแนมด้วยผักสดแกะสลักสุดประณีต ปิดท้ายความอร่อยอย่างลงตัว ด้วยเมนูของหวาน อาทิ มะยงชิดลอยแก้ว ที่คัดสรรมะยงชิดคุณภาพจากจังหวัดนครนายก รสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ หรือไอศกรีมเมี่ยงคำ หวามหอมกลมกล่อมช่วยบรรเทาร้อนได้เป็นอย่างดี ข้าวแช่ พร้อมเสิร์ฟแล้วตั้งแต่วันที่ 1-30 เมษายน 2566 สำหรับรับประทานที่ห้องอาหาร ในราคาชุดละ 650 บาท หรือแบบสั่งกลับบ้านในรูปแบบตระกร้าสวยงามชุดละ 1,200 บาท ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งได้ที่ 02 679 1200
ด้วยอากาศที่แสนจะร้อนชื้นอบอ้าวในช่วงฤดูร้อนของภูมิภาคอุษาคเนย์ ครั้นจะกินอะไรร้อนๆเข้าไปอีกอย่างแกงร้อนๆคงจะยิ่งเป็นการเพิ่มความทรมานให้แก่กายและใจ เมนูอาหารคาวเย็นๆที่กินกันเป็นมื้อได้อย่างข้าวแช่ที่ทั้งเย็น หอมสดชื่น จึงเป็นเมนูยอดนิยมในปัจจุบันที่แม้คนรุ่นใหม่ก็ยังถวิลหากินและให้ความสนใจ โดยในปีนี้เริ่มพ้นจากวิกฤติโควิตอย่างเป็นทางการ เราจึงเริ่มออกตระเวณกินข้าวแช่เด่นๆมาหลากหลายที่ โดยในปีนี้เราขอแนะนำข้าวแช่ทั้งหมด 5 ที่ที่เราได้ไปชิมมาและอยากแนะนำบอกต่อ จะมีอะไรกันบ้างไปดูกันเลยครับ 1. “ข้าวแช่ตำรับชาววัง” เมนูแห่งฤดูร้อนและปีใหม่อุษาคเนย์ ที่สุดแห่งความประณีตบรรจงในการคัดสรรวัตถุดิบผ่านฝีมือ เชฟวิชิต มุกุระ เชฟอาหารไทยชื่อดัง ที่ถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของรอยัล โอชา ประจำปี 2566 Royal osha Bangkok ปีนี้ รอยัล โอชา (Royal Osha) ร้านอาหารไฟน์ ไดนิ่งสุดหรู ที่ได้รับการแนะนำจากมิชลินไกด์ถึง 5 ปีซ้อน ขอนำเสนอความละเมียดละไมของเมนู “ข้าวแช่ตำรับชาววัง” เมนูที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาในช่วงคิมหันต์ฤดู ที่สุดแห่งความประณีตบรรจงในการคัดสรรวัตถุดิบผ่านฝีมือ เชฟวิชิต มุกุระ เชฟอาหารไทยชื่อดังเจ้าของมิชลินสตาร์ ที่ถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของรอยัล โอชา อิ่มเอมไปกับเครื่องเคียง รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศทั้ง 7 อย่างตามตำรับชาววัง ได้แก่ ลูกกะปิ, หอมแดงสอดไส้หน้าปลาแห้ง, พริกหยวกสอดไส้หมูสับกับกุ้ง, ไข่แดงเค็มชุบแป้งทอด, หมูฝอยผัดน้ำพริกมะขาม, ปลายี่สนผัดหวาน และ หัวไชโป๊วผัดหวาน พร้อมกับเครื่องเคียง ผักแกะสลักสุดประณีตอย่าง กระชายแกะสลักดอกจำปี ต้นหอมม้วน มะม่วงเปรี้ยว และแตงกวาแกะสลัก อ่านต่อคลิกที่นี่>>> https://www.kinandleisure.com/review-2566-royal-osha-bangkok-khaochae/ 2. คลายร้อนกับ “ข้าวแช่ตำรับเรือนนพเก้า” ในชุดจานเบญจรงค์ลายนกยูงโดยช่างเขียนชั้นบรมครู ที่ประกอบไปด้วย 4 คอร์ส ณ เรือนนพเก้า Ruennoppagao 2566/2023 ข้าวแช่ตำรับเรือนนพเก้ามีการปรับเปลี่ยนหลายๆสูตรที่ดีเข้าด้วยกันจนลงตัว ทำให้ถูกปากผู้ใหญ่ แต่คนรุ่นใหม่ก็สามารถเข้าถึงและรู้สึกรื่นรมณ์เวลากินค่ะ โดยสูตรข้าวแช่และเครื่องเคียงนี้ต้องชื่นชมเชฟปิ๊กเจ้าของรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันทำอาหารที่มีจิตวิญญาณความเป็นพ่อครัวอาหารไทยอย่างแรงกล้า อ่านต่อคลิกที่นี่>>> https://www.kinandleisure.com/review-khaochae-ruennoppagao-2566-2023/ https://www.kinandleisure.com/review-khaochae-ruennoppagao-2566-2023/ 3. ข้าวแช่เมนูคลายร้อนที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ไทย ณ ห้องอาหาร Saffron, Banyan Tree Bangkok สัมผัสรสชาติหวานหอมเย็นชื่นใจของข้าวแช่ต้นตำหรับที่ครบเครื่องอรรถรสทั้งคาวหวาน รังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยเชฟเรณู หอมสมบัติ หัวหน้าเชฟอาหารไทย ได้จัดเตรียมนำข้าวมาแช่ในน้ำอบควันเทียนลอยดอกมะลิหอมละมุน เสิร์ฟพร้อมสารพันเครื่องเคียง เช่น ลูกกะปิทอด หอมแดงยัดไส้เนื้อปู พริกหยวกยัดไส้กุ้ง ปลายี่สนผัดหวานแนมด้วยผักสดแกะสลักสุดประณีต ปิดท้ายความอร่อยอย่างลงตัว ด้วยเมนูของหวาน อาทิ มะยงชิดลอยแก้ว ที่คัดสรรมะยงชิดคุณภาพจากจังหวัดนครนายก รสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ หรือไอศกรีมเมี่ยงคำ หวามหอมกลมกล่อมช่วยบรรเทาร้อนได้เป็นอย่างดี อ่านต่อคลิกที่นี่>>> https://www.kinandleisure.com/promo-khaochae-2023-saffron-banyan-tree-bangkok/ https://www.kinandleisure.com/promo-khaochae-2023-saffron-banyan-tree-bangkok/ 4. ดับกระหายคลายร้อน พร้อมสัมผัสเอกลักษณ์สำรับอาหารไทย กับชุดข้าวแช่ จิม ทอมป์สัน @ JT…
ลา บอตเตก้า La bottega มีความยินดีที่จะประกาศ การแต่งตั้ง มาร์โก อเวซานี เป็นหัวหน้าเชฟคนใหม่เกิดและเติบโตในเมืองเวโรนาทางตอนเหนือ ทางตะวันออกของอิตาลี เชฟ Marco จะนำของเขาความเชี่ยวชาญด้านการทำอาหารและความรู้ของวัตถุดิบจากอิตาลีและท้องถิ่นของเราครัว. “เราตื่นเต้นมากที่มีเชฟ Marco อยู่บนเรือเก่าแก่ลำน้อยของพวกเรา ” says Partner Luca Appino พื้นหลังการทำอาหารที่น่าประทับใจ “ฉันมั่นใจแขกของเราจะรักเขาและสิ่งที่เขานำมาที่โต๊ะ”ความหลงใหลในอาหารของ Marco นำเขาไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลก จากบ้านของเขาในอิตาลี เขาเดินทางไปสกอตแลนด์ กัมพูชา อาบูดาบี และสุดท้ายคือแผ่นดินไทย เขามีโอกาสเข้าร่วมทีมที่มีพรสวรรค์ เช่น หนึ่งในสามมิชลินสตาร์ของร้านอาหาร Roberto ในดูไบในปี 2558, J’Aime by Jean Michel Lorain ระดับมิชลินสตาร์ในกรุงเทพฯ, Four Seasons Resort ในเชียงใหม่ในปี 2560, Ori ental Residence และมิชลินสตาร์ Savelberg ในกรุงเทพฯ ความสนใจในอุตสาหกรรมนี้เกิดจากพ่อของเขาและร้านอาหารที่ Marco เติบโตมา “พ่อของฉันสอนฉันถึงความสำคัญของคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ก่อนที่มันจะกลายเป็นกระแส” มาร์โกอธิบาย “เขาเคยไปหาผู้ผลิตทุกรายเป็นการส่วนตัว แม้แต่รายที่ไม่รู้จักมากที่สุด เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าของเขา เขาเคารพผู้ผลิตแต่ละรายและบทบาทของพวกเขาที่มีต่อธุรกิจร้านอาหาร” หลังจากการสลับฉากสั้น ๆ Marco เข้าร่วมร้านอาหารของครอบครัวใหม่ในพื้นที่ Valpolicella ได้ระยะหนึ่งแล้วออกเดินทาง 100 วันในเอเชียที่ซึ่งเขาตกหลุมรักดินแดนและอาหาร การเดินทางนั้นไม่เคยสิ้นสุดและดำเนินต่อไปเป็นเวลาแปดปี “ฉันรอคอยบทนี้ในอาชีพของฉัน” เชฟมาร์โกกล่าวเสริม “ฉันดีใจที่ทักษะของฉันจะเป็นนำไปใช้ในสถานประกอบการรับประทานอาหารดังกล่าว ฉันยินดีที่จะสานต่อเส้นทางการทำอาหารที่เริ่มต้นโดย Andrea (อดีตหัวหน้าเชฟของ La Bottega) และ ข้าตื่นเต้นกับโอกาสที่จะได้พบกับเจ้าพวกแขกของ Bottega และช่วยทำอาหารสัมผัสประสบการณ์ที่สนุกสนานอย่างแท้จริง สร้างความน่าเชื่อถือความสัมพันธ์”.