บรรยากาศเข้าหน้าร้อนตามแบบฉบับของคนไทย อาหารอย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้คงเป็นข้าวแช่ ที่เป็นอาหารรสชาติอร่อยและไว้ทานดับร้อน หลายคนคงคุ้นชื่อกับเมนูนี้ ที่ได้ความอร่อยแบบตำรับชาววังไปจนถึงอารมณ์ทางฝั่งเพชรบุรีหรือพื้นที่ใกล้เคียง วันนี้กินแหลกแจกดาวได้มีโอกาสมาสัมผัสข้าวแช่สยาม ที่สยามทีรูมใจกลางกรุงเทพฯ น้ำดื่มเริ่มต้นความสดชื่นด้วย น้ำแตงโม อิตาเลี่ยนโซดาลิ้นจี่ ความโดดเด่นภายใต้ความท้าทายจากเมนูข้าวแช่ที่ต้องทานพร้อมกับแตงโมและปลาแห้ง รังสรรค์ออกมาเป็นรูปแบบของเครื่องดื่มแตงโมและปลาแห้ง ที่มีความร่วมสมัยสดชื่นและเป็นเอกลักษณ์ด้วยการผสานน้ำแตงโมและกลิ่นของน้ำลิ้นจี่เป็นการเปิดประสาทสัมผัสและเติมความสดชื่นให้กับเมนูข้าวแช่นี้ได้เป็นอย่างดีครับ ไอศกรีมเชอร์เบตกระท้อน เปิดประสาทรสสัมผัส ด้วยกระท้อน แรงบันดาลใจจาก เชฟจากวัยเด็ก ซึ่งเชฟเล่าจากความทรงจำว่า จากการที่เปิดตู้เย็นแล้วเจอกระท้อนที่แช่อยู่ในวัยเด็กซึ่งหากตากเนื้อกระท้อนที่แช่เย็นอยู่มารับประทานจะมีความสดชื่นหวานหอมยิ่งนำมาทำเป็นในรูปไอศกรีมมีความโดดเด่นและรับประทานง่าย และเติมกลิ่นเพื่อต้อนรับสู่การรับประทานข้าวแช่ด้วยทั้งหมูฝอย หอมเจียว ส้มซ่า ซึ่งเป็นรสสัมผัสที่มีกลิ่นประสานของความเป็นของคาวเล็กๆ กับรสชาติของอาหารหวานทำให้เป็นการเปิดประสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนใคร ไม่ได้มีเพียงรสหวานเปรี้ยวเพื่อให้รู้สึกตื่นแต่เพียงเท่านั้นแต่ยังสอดแทรกรสชาติอื่นๆ อย่างละเล็กละน้อยทำให้เมนูที่เหมือนไอกครีมกระท้อนธรรมดานี้ ไม่เหมือนใครทีเดียวครับ ข้าวแช่ ตัวข้าวหลักของเมนูวันนี้เชฟเลือกที่จะใช้ข้าวหอมมะลิ จากจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีเอกลักษณ์ในความหอมอ่อนๆ มียางข้าวผสมแบบพอดี ทำให้ตัวข้าวแช่จะไม่ได้แข็งเหมือนลักษณะข้าวของที่อื่นที่จะนิยมใช้เป็นข้าวเสาไห้ แล้วนำมาแช่ในน้ำดอกไม้ ซึ่งหอมและมีลักษณะเฉพาะ และนำไปอบด้วยควันเทียนตามตำรับแบบไทยเวลาเสิร์ฟจะมีก้อนน้ำแข็งซึ่งแช่พร้อมกับดอกไม้เสิร์ฟลอยอยู่ในถ้วยอย่างดูน่าสนใจและน่ารับประทานในภาชนะออกสีทองเหลืองสวยงามดูมีความหรูหราแต่ก็ไม่ทิ้งรูปแบบความเป็นไทย ลูกกะปิ เมนูแรกที่เชฟเลือกออกมาแนะนำเลยครับซึ่งเชฟภูมิใจนำเสนอกรรมวิธีการทำ ซึ่งต้องเริ่มจากการนำปลาช่อนนา ปลาดุกนา นำมาย่างให้หอมแล้วอบแห้ง เสร็จแล้วจึงฉีกเนื้อให้เป็นฝอยนำมาป่นผัดเข้ากับกระเทียม มะกรูด กะปิคลองโคน น้ำตาลคลองโคลน ซึ่งวัตถุดิบ 2 อันหลังนี้ทางเชฟแนะนำหรือว่าเป็นการนำรสชาติและวัตถุดิบพื้นเมืองของทางราชบุรีมาใช้เพื่อให้ได้ตามรสชาติแบบตำรับของจังหวัดจริงๆ เมื่อผัดเครื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วก็นำมาชุบด้วยไข่แดงเค็มแบบบางๆทอดจนได้เป็นก้อนหอมนุ่ม ไม่แข็งจนเกินไป เป็นคำแรกที่ เชฟ แนะนำให้ทานเพื่อเปิดรสสัมผัสของข้าวแช่จานนี้ครับ ปลายี่สนผัดหวาน ปลายี่สกหรือที่เรียกให้ถูกตามที่เชฟของเราแนะนำคือปลายี่สนนั้น เมนูนี้เกิดจากการนำปลายี่สนนี้ มาตากแห้ง จากนั้นเพื่อให้ได้ความนุ่งจะต้องนำมาแช่น้ำ 3 วัน เสร็จแล้วจึงนำเนื้อปลามาฉีกเป็นเส้น เพื่อให้นุ่มและสามารถนำมาผัดได้จากนั้นจึงใส่เครื่องเทศสูตรเฉพาะเคล้ากับน้ำตาลมะพร้าว แล้วนำมาปั้นเป็นรูปจานนี้จึงเป็นคำที่มีรสชาติออกหวานแต่มีกลิ่นหอมของเนื้อปลาผสมอยู่ในตัว หมูฝอย เมนูที่เข้าใจว่าจะสามารถหาซื้อได้ไม่ยากแต่ที่นี่ก็เลือกที่จะใส่ความพิถีพิถันและทำเองโดยเริ่มจากการนำเนื้อหมูย่างอย่างพอดีจนเนื้อแห้งแต่ยังคงความนุ่ม นำมาฉีกออกเป็นเส้นฝอย เสร็จแล้วนำไปคั่วทอดกับหอมแดง และน้ำตาลมะพร้าว เป็นหมูฝอยที่มีความหอมหวานเค็มมันเข้ากันอย่างพอดีและมีรสสัมผัสนุ่มเล็กๆที่เรียกว่าผมตักจนหมดภายในไม่กี่คำเลยครับ ไชโป๊วผัดหวาน คำนี้ถ้าเกิดเทียบกับเวลาทานที่อื่น ไชโป๊วจะเป็นเส้นเรียบและมีผิวออกด้านเล็กน้อย แต่สำหรับที่นี่เรียกว่าเป็นหัวไชโป๊วที่มีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยเส้นที่ตัดมาขนาดกำลังดี ผัดเข้ากับเครื่องเทศและน้ำตาลมะพร้าวหอมกำลังดีเส้นที่ออกมาดูลื่น ทานง่ายมาก และเพิ่มกลิ่นรสสัมผัสด้วยการอบควันเทียน ทำให้เป็นไชโป๊วผัดหวานที่ไม่เหมือนใครครับ พริกหยวกยัดไส้ ซึ่งตัวไส้ทำจากกุ้งหมูผัดที่นุ่มและสุกกำลังดี มีความกรุบจากเนื้อกุ้งที่ใส่มาอย่างพอเหมาะ หมักสามเกลอ รากผักชี กระเทียม พริกไทย ทำให้คำนี้ดูมีกลิ่นและรสชาติสัมผัส ส่วนตัวตอนแรกเราว่าจะได้กลิ่นเขียวของพริกหยวกนำมาหรืออาจจะเละแต่พอได้กัดเข้าไป คำนี้ออกมาเป็นคำที่รสชาติอร่อย ต้องจิ้มทานต่อกันเลยทีเดียวกับตัวพริกหยวกกลิ่นหอมละมุนไม่ฉุนและชุบทอดด้วยไข่ที่ฟูนุ่ม เข้ากันกับตัวพริกหยวกได้เป็นอย่างดี ไข่เค็มทอด เค็มอ่อนมัน หอมมันจากรสชาติของไข่เค็มจริงๆ คำนี้ทานแล้วทำให้รู้สึกรสชาติของคำอื่นๆ ดูกลมกล่อมเข้ากันมากขึ้นไปอีกครับ นึกว่าส่วนตัวเป็นคำที่รสชาติดูบางละมุนที่สุดในสำรับ ไม่ใช่โดดเค็มแบบชื่อไข่เค็มอย่างที่เราคิด เป็นคำที่สร้างรสสัมผัสที่ไม่เหมือนใครให้กับสำหรับข้าวแช่นี้ หอมแดงสอดไส้ อันนี้เป็นอีกคำที่กลัวเลยครับว่าจะทานไม่ได้เพราะกลัวเรื่องกลิ่นและรสชาติออกเผ็ดๆ…
Author: Kittin Assavavichai
จากภาพวาดความหมายมงคลที่ถ่ายทอดลงสู่จาน Porcelain เนื้อ New Bone China. ลวดลายในจานประกอบไปด้วยส้มจำนวน 8+8+8 = 24 ซึ่งเป็นตัวเลขมงคล อีกทั้งส้มและวิหกคู่ยังสื่อถึงความหมายมงคลด้วยเช่นกัน จานนึ้สามารถใช้แขวนโชว์บนผนัง ตั้งโชว์บนตู้ ใช้เป็นภาชนะสำหรับใส่อาหาร ผ่านการเผาที่อุณหภูมิ 1,250 องศาเซลเซียส ปราศจากสารประกอบโลหะหนัก นำไปเข้าเตาไมโครเวฟ เครื่องล้างจาน และตู้เย็นได้ ทำความสะอาดโดยใช้ฟองน้ำหรือน้ำยาล้างจาน พิถีพิถันโดยชาวลำปาง เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งดินขาวและการทำเซรามิค ร้านอาหารระดับโลกมากมายเลือกใช้จานจากลำปาง. จะนำไปใช้เองหรือเป็นของขวัญก็เหมาะสมยิ่ง. From the painting, the auspicious meaning is conveyed to the Porcelain plate made of New Bone China. The pattern in the plate consists of 8+8+8 = 24 oranges, which is an auspicious number. In addition, oranges and pairs of birds also convey auspicious meanings. This dish can be used to hang on the wall display on cabinet or used as a container for food. Through the fire at 1250 ° C, free of…
น่ารับประทานและน่าลิ้มลอง ชุดน้ำชา “ความงดงามแห่งอัญมณี” (Boutique of Jewels) พร้อมให้บริการ 6 เมษายน – 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565 137 พิลลาร์ สวีทแอนด์เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ นำเสนอประสบการณ์จิบน้ำชายามบ่ายรูปแบบใหม่ “ความงดงามแห่งอัญมณี” (Boutique of Jewels) พบกับการผสมผสานชุดน้ำชายามบ่ายและเครื่องประดับที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพลิดเพลินกับชุดน้ำชายามบ่ายแสนเลิศรสและชื่นชมผลงานชิ้นเอกที่ส่องประกายระยิบระยับในวีไอพีซาลอนของเรา ชุดน้ำชายามบ่าย “ความงดงามแห่งอัญมณี” (Boutique of Jewels) อันประณีตถูกรังสรรค์เพื่อสร้างสุนทรียะอย่างแท้จริง พร้อมให้บริการวันที่ 6 เมษายน – 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่บ้านบอร์เนียว คลับ ชั้น 26 ของโรงแรม ประสบการณ์อันดื่มด่ำที่มากกว่าการดื่มน้ำชายามบ่ายทั่วไป ชุดน้ำชายามบ่าย “ความงดงามแห่งอัญมณี” (Boutique of Jewels)นำเสนอขนมหวานและอาหารคาวหลากเมนูแสนอร่อย จัดวางอย่างสวยงามบนกำไลข้อมือและแหวน ซึ่งสามารถสวมใส่ได้จริง ผู้มาใช้บริการสามารถเพลิดเพลินกับการลองสวมใส่เครื่องประดับหลากสีสันที่กินได้เหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ดูเหมือนอัญมณีล้ำค่า อาหารคาวแสนอร่อยที่ถูกออกแบบให้เหมือนเครื่องประดับหลากสี ได้แก่ ทาร์ตอโวคาโดหอยเชลล์และคาเวียร์ ปูซัลซ่าและเจลลาตินรูบาร์บ มิลเฟยกะหล่ำดอกปลาไหลรมควันและมูสวานิลลา ชูทาฮินีมะเขือย่างและโพรซุตโต้ และทาโก้กุ้งล็อบสเตอร์กับถั่วลันเตา ของหวานที่สวมใส่ได้นั้นมีสีสันและน่ารับประทานราวกับทับทิมและอเมทิสต์ที่แวววาว ไม่ว่าจะเป็นมูสบลูเบอร์รี่โยเกิร์ต มูสครั้นช์สตรอเบอร์รี่ มูสมะพร้าวกับเยลลี่มะนาว ทาร์ตช็อกโกแลตเชอร์รี่ และชีสเค้กมะม่วงราดด้วยซอสซัลซ่ามะม่วงและซอสมะพร้าว สโคนรสธรรมดาและรสสตรอว์เบอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมแยมลาเวนเดอร์แอปริคอทและแยมสตรอเบอร์รี่รูบาร์บ มอนซูน ชาผสมที่คัดสรรอย่างดีรวมอยู่ในชุดน้ำชา ผลิตและบรรจุในภาคเหนือของประเทศไทย แบรนด์นี้ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านการปลูกชาพื้นเมืองอย่างยั่งยืน มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น สำหรับผู้ชื่นชอบชาที่ไม่เหมือนใครสามารถเลือกชาเอ็กคลูซีฟ เบลนด์สำหรับ 137 พิลลาร์ ซึ่งเป็นการผสมรสชาติผลไม้ไทยอันเป็นเอกลักษณ์ เช่น ชาเขียวมะรุมลำไย ชาอู่หลงอัญชันมังคุด เป็นต้น ชุดน้ำชายามบ่าย “ความงดงามแห่งอัญมณี” (Boutique of Jewels) ให้บริการทุกวันตั้งแต่ 13.00 น. – 17.00 น. ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน – 30 ตุลาคม 2565 ที่บ้านบอร์เนียวคลับ ชั้น 26 ที่ 137 พิลลาร์สวีทแอนด์เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ ราคาชุดละ 1,800++ บาท ต่อ 2 ท่าน; 2,200++ บาท รวมสปาร์คกลิ้งไวน์ 2 แก้ว ต่อ 2 ท่าน สำรองที่นั่งหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 02 079 7000 หรือติดต่อผ่าน ไลน์ ออฟฟิเชียล (@137pillarshotels) Kin Promo Kinlakestars.com KinlakeStars.com กินแหลกแจกดาว สื่ออาหารและการท่องเที่ยว…
สวัสดีค่ะ อากาศร้อนๆเช่นนี้ หากได้กินอะไรที่เย็นๆสดชื่น คงจะดีไม่น้อย ข้าวแช่เป็นอีกเมนูที่เหมาะกับการกินกันในช่วงฤดูร้อนมาก โดยหากหาอ่านประวัติของข้าวแช่จะพบว่า แต่เดิมข้าวแช่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้ไหว้ผีไหว้เจ้า ต่อมาได้ถูกปรับสูตรต่างๆจนเหมาะกับการกิน ให้มีหน้าตาที่สวยงาม รสชาติที่น่ากิน กลิ่นที่ชวนให้ลิ้มลอง ข้าวแช่ตำรับเรือนนพเก้ามีการปรับเปลี่ยนหลายๆสูตรที่ดีเข้าด้วยกันจนลงตัว ทำให้ถูกปากผู้ใหญ่ แต่คนรุ่นใหม่ก็สามารถเข้าถึงและรู้สึกรื่นรมณ์เวลากินค่ะ โดยสูตรข้าวแช่และเครื่องเคียงนี้ต้องชื่นชมเชฟปิ๊กเจ้าของรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันทำอาหารที่มีจิตวิญญาณความเป็นพ่อครัวอาหารไทยอย่างแรงกล้า ซึ่งปีนี้ทางเรือนนพเก้า สาทร๖ ได้รังสรรค์สุดวิจิตรบรรจงลงในภาชนะที่สุดล้ำค่าด้วย ชุดจานเบญจรงค์ลายนกยูง ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และความโชคดี โดยช่างเขียนชั้นบรมครูของการทำเครื่องเบญจรงค์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และในปีนี้ทางร้านเรือนนพเก้าได้นำเสนอสำรับข้าวแช่ในรูปแบบที่แตกต่างจากปีอื่นเป็น ๓ แบบ ประกอบด้วย ก่อนเข้าสู่ชุดข้าวแช่ ดิฉันขอแนะนำเครื่องดื่มใหม่ของทางเรือนนพเก้าที่ทางเชฟปิ๊กได้สร้างสรรค์ขึ้นมาจากเมนูเรียกน้ำย่อยแบบไทยๆนั้นก็คือ เมี่ยงคำนั้นเอง ภายในแก้วทรงสำหรับดื่มไวน์แดงที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มเย็นๆสีเขียวอ่อน สีสดสวย และมีเมี่ยงคำหนึ่งคำเหน็บเอาไว้ตรงขอบแก้วนี้มีชื่อว่า คำหวาน เครื่องดื่มนี้ถูกสร้างสรรค์จากใบพลู และสารพัดส่วนประกอบในเมี่ยงคำ ดื่มแล้วสดชื่น เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี และวิธีรับประทานที่ถูกต้อง จะไม่ตักเครื่องเคียงใส่ลงไปในชาม เพื่อไม่ให้ข้าวแช่ขุ่นหรือเป็นมัน แต่จะตักเครื่องเคียงเข้าปากและตามด้วยข้าว ทานสะอาดหมดจดตั้งแต่เริ่มยันจบ ตามด้วยผักแก้มเสริมรสชาติให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สำรับข้าวแช่แบบต้นตำรับ สำรับข้าวแช่สำหรับฮาลาล สำรับข้าวแช่สำหรับมังสวิรัติซึ่งได้นำวัตถุดิบชั้นเลิศ รังสรรค์เป็น ๔ คอร์ส เมนูแรก แตงโมหน้าปลาแห้ง นำปลาช่อนแดดเดียวจากจังหวัดสิงห์บุรี นำมาย่างด้วยเตาถ่าน และนำมาโขลกให้ฟูหลังจากนั้นนำมาผัดให้แห้งปรุงรสด้วยน้ำตาลดอกมะพร้าวจากจังหวัดสมุทรสงคราม ดอกเกลือ หอมแดงเจียว เสิร์ฟพร้อมกับแตงโมแช่เย็น เมนูสอง กุ้งห่มสไบ นำกุ้งจากเครือข่ายประมงพื้นบ้านจากจังหวัดสุราษฏร์ธานี นำมาหมักกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย และนำมาห่อด้วยแผ่นปอเปี๊ยะ นำมาทอดกรอบ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มส้มซ่า ที่เป็นสูตรลับเฉพาะของร้านเรือนนพเก้า เมนูสาม ข้าวแช่ ประกอบด้วยเครื่องเคียง ๗ อย่าง ประกอบด้วย ลูกกะปิ หอมแดงสอดไส้ปลาแห้ง หอมแดงสอดไส้ปลาแห้ง หอมแดงเป็นหอมแดงจากจังหวัดสุรินทร์ เป็นหอมแดงที่สอดไส้ปลาแห้ง ก่อนนำมาชุบไข่และแป้งลงทอด ไข่เค็มชุบแป้งทอด ไข่เค็มชุบแป้งทอด อร่อย มันเค็มไปกับไข่แดงชั้นดีและนำมาชุบแป้งทอด พริกหยวกสอดไส้ พริกหยวกสอดไส้ ไข่ที่ห่อพริกหยวกเชฟจะทอดจนกรอบเป็นตาข่ายสวยงาม นำพริกหยวกมาคว้านเมล็ดยัดไส้หมูสับปรุงรสแล้วนำไปนึ่ง ก่อนห่อด้วยไข่ตาข่าย หมูฝอย ปลาช่อนแดดเดียวผัดหวาน หัวไชโป๊วหอมผัดน้ำมันหมู หัวไชโป๊วหอมผัดน้ำมันหมู นำหัวไชโป้วไปผัดกับน้ำตาลมะพร้าว ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและเกลือ ผัดจนกระทั่งได้เส้นหัวไชโป้วที่มีความวาวใส สวยงาม กรุบกรึบ และแนมด้วยผักสด ประกอบด้วย มะม่วงเปรี้ยว…
เปิดประสบการณ์ครั้งแรก ของการจำลองบรรยากาศบีชคลับ บนรูฟท็อป ด้วยคอนเซ็ปต์ Brunchilicious @SEEN สังสรรค์บรั้นช์มื้อสายกับเมนูสุดชิค พร้อมพูลปาร์ตี้ดับร้อน ทุกวันเสาร์ ที่ห้องอาหารรูฟท็อป ซีน เรสเตอรอง แอนด์ บาร์ (SEEN Restaurant & Bar Bangkok) ชั้น 26 โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ เพลิดเพลินกับบรรยากาศรูฟท็อป ดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่สวยงามของวิวแม่น้ำเจ้าพระยา นั่งสบายริมสระน้ำอินฟินิตี้พูล พร้อมดีเจ สลับกับการแสดงดนตรีเพอร์คัชชันและแซ็กโซโฟนจังหวะสนุกสนาน พร้อมเติมเต็มความสนุกกับเมนูที่รังสรรค์โดยเชฟที่ได้รับรางวัลการันตี ให้คุณได้เพลิดเพลินกว่า 3 ชั่วโมง เริ่มด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยนานาชาติ อาทิ สะโพกไก่ทอด, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบเครื่องเทศ ไปจนถึงซูชิและซาซิมิ ตามด้วยอาหารจานหลักที่รังสรรค์มาเป็นพิเศษ อาทิ เป็ดตุ๋นน้ำมันหนังกรอบ, หมูอบหนังกรอบซอสแอปเปิ้ล, เนื้อริบอายย่างเนยสมุนไพร และของหวานที่ไม่ควรพลาดกับมาชเมลโล่เชอรี่ยูซุ เสิร์ฟพร้อมเตาถ่านสำหรับย่าง รวมถึงเครื่องดื่มเสิร์ฟไม่จำกัดถึงบ่ายสามโมง พร้อมใช้บริการสระว่ายน้ำ ให้คุณได้สัมผัสความสดชื่นดับร้อน ได้ถึงเวลา 17.00 น. เปิดประสบการณ์กับ Brunchilicious @SEEN ที่โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ชั้น 26 ทุกวันเสาร์ เวลา 12:00 น. ถึง 17:00 น.** แพ็คเกจเริ่มตั้งแต่ราคา 2,499++ บาท ต่อท่าน (ไม่รวมเครื่องดื่ม) หรือราคา 3,499++ บาทต่อท่าน รวมเครื่องดื่มเบียร์ ไวน์ และค็อกเทลไม่จำกัด หรือเพิ่มแชมเปญ Moët & Chandon Ice Imperial Champagne ในราคา 7,999++ บาทต่อท่าน (**แพ็คเกจอาหารและเครื่องดื่ม เสิร์ฟถึง 15:00 น.) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่ง โทร. 0 2431 9492 หรือ อีเมล:[email protected]…
โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เผยโฉม “คิ อิซากายะ” ห้องอาหารสไตล์อิซากายะแห่งใหม่ย่านหลังสวน ที่ได้นำกลิ่นอายความเป็นร้านญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะ ซึ่งเป็นที่นิยมในเมืองโอซาก้าและเมืองเกียวโต มาผสมผสานเข้ากับความหรูหรามีสไตล์ของแบรนด์เคมปินสกี้ได้อย่างลงตัว จึงทำให้ “คิ อิซากายะ” เหมาะเป็นสถานที่สังสรรค์ผ่อนคลายหลังเลิกงานด้วยอาหารรสเลิศและเครื่องดื่มแก้วโปรด ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน และเพื่อนร่วมงาน “ คิ” (Ki) มีความหมายว่า “บรรยากาศ” (Mood) และ “รสชาติ” (Flavour) ในขณะที่ “อิซากายะ” (Izakaya) มีความหมายว่า “กิน-ดื่ม” ดังนั้น “คิ อิซากายะ” (Ki Izakaya) จึงเป็นสถานที่ที่ส่งมอบบรรยากาศและรสชาติที่ดีที่สุดแก่ผู้ที่มาเยือน แขกของ “คิ อิซากายะ” ทุกคนจะได้สัมผัสประสบการณ์และรสชาติของอาหารสไตล์อิซากายะแบบต้นตำรับ ท่ามกลางบรรยากาศวิวสวยจากชั้น 9 ของโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ และที่นั่งที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้นั่งได้อย่างผ่อนคลาย รวมถึงโต๊ะไม้ดีไซน์ทันสมัยแต่แฝงไว้ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะสำหรับนั่งจิบเครื่องดื่มที่คุณโปรดปราน นอกจากเครื่องดื่มสุดพิเศษแล้วนั้น เชฟฮิโรยูกิ โยโกฮาม่า เชฟประจำห้องอาหารคิ อิซากายะ ยังได้รังสรรค์เมนูอาหารสูตรดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น อาหารทานเล่น (edamame) เมนูซุป (dashimaki) เมนูปิ้งย่างเสียบไม้ (yakitori) รวมถึงเมนูพิเศษอย่าง เมนูหม้อร้อนเนื้อวากิวและปูม้าที่น้ำซุปทำจากนมถั่วเหลืองฮ๊อกไกโด (Hokkaido Soy Milk Hot Pot with Wagyu beef and Blue Swimmer Crab) ไว้ให้คุณได้ลิ้มลอง เชฟฮิโรยูกิ โยโกฮาม่า ได้นำประสบการณ์ที่ได้จากร้านอาหารที่ได้ร่วมงานมาจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศฝรั่งเศส ประเทศเวียดนาม และประเทศออสเตรเลีย มาประยุกต์ปรุงแต่งความเป็นเมนูสไตล์ญี่ปุ่นให้เข้ากับเมนูสไตล์ตะวันตกจนได้เป็นเมนูพิเศษที่ดีต่อสุขภาพสำหรับแขกห้องอาหาร “คิ อิซากายะ” โดยเฉพาะ ห้องอาหาร “คิ อิซากายะ” ตั้งอยู่ที่ชั้น 9 โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เปิดบริการทุกวันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17.00 น.…
Chef : Rin : Feb 2022 Story : / Photo : Pol.Capt. Kittin A กลิ่นหอมของตะไคร้จากหมอกควันที่พวยพุ่งออกจากฐานชุดน้ำชาทั้ง 2 ชวนให้ต้องหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพอย่างตื่นตา นั้นเป็นหนึ่งในลูกเล่นของชุดชาที่ไม่มีที่ใดทำ ไม่เหมือนใคร กลิ่นตะไคร้ที่สดชื่นและผ่อนคลายในเวลาเดียวกันแบบไทยๆ สวัสดีครับ ในครั้งนี้ Kinlakestars.com ขอเชิญทุกท่านใช้เวลายามบ่ายไปกับการผ่อนคลายด้วยชุดน้ำชารสเลิศ โดยทีมเชฟมืออาชีพฝีมือเยี่ยมที่ได้คิดค้นชุดน้ำชายามบ่าย 2 สไตล์ ทั้งชุดน้ำชายามบ่ายต้นตำรับ และชุดน้ำชาสไตล์ไทย เพื่อให้คุณได้ผ่อนคลายไปกับการจิบชาหรือกาแฟรสชาติเข้มข้นหอมกรุ่น พร้อมกับรับประทานชุดน้ำชายามบ่ายและเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสบายๆของวิวเจดีย์กลางน้ำ ที่ บริเวณ ล็อบบี้ ซาลอน ทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างช่วงเวลา 13:30 – 16:30 น. เป็นเวลาอันเนิ่นนานที่เรามิได้มาเยียนเยือนเยื้องตัวผ่อนคลายอิริยาบทในยามบ่ายกับบรรยากาศสุดแสนคลาสิคในอาคารหลักของโรงแรมสุโขทัย ผ้าไหมสีเขียวที่ห่อหุ้มผิวกำแพงและเสา เสาที่เรียงทอดยาวตลอดสองข้างทางเดิน บ่อน้ำและเจดีย์ที่อยู่ริมผนังอันเป็นทัศนียภาพแสนสมควรแก่การพักสายตาไปพร้อมๆกับการจิบชาและลิ้มชิมอะไรอร่อยๆ อิ่มอร่อยไปกับ 2 ชุดได้แก่ ชุดน้ำชายามบ่ายต้นตำรับ สไตล์ตะวันตก พร้อมเสิร์ฟ ทั้งของว่าง แซนวิชสดใหม่ และเบเกอรี่อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตับห่านเสิร์ฟบนแผ่นขนมปังกรอบ มินิครัวซองท์สอดไส้ชีสและเห็ดทรัฟเฟิล แซลมอนรมควันบนขนมปังแป้งข้าวไรย์ สโคนแบล็คเคอเรนท์ ทานคู่กับครีม และแยมเบอร์รี เป็นต้น ราคาต่อท่านชุดละ 1450++ บาท SandwichesWhite Truffle Ricotta Croissant Iberico Ham Open Face, Wild Rocket, Sour Cream, Orange The Sukhothai’s Smoked Atlantic Salmon, Horseradish Mayo, Dark Rye Cold Savouries Burrata, Heirloom Cherry Tomato, Basil, Balsamic Caviar Vegetable & Avocado…
ขอเชิญทุกท่านใช้เวลายามบ่ายไปกับการผ่อนคลายด้วยชุดน้ำชารสเลิศ โดยทีมเชฟมืออาชีพผีมือเยี่ยมที่ได้คิดค้นชุดน้ำชายามบ่าย 2 สไตล์ ทั้งชุดน้ำชายามบ่ายต้นตำรับ และชุดน้ำชาสไตล์ไทย เพื่อให้คุณได้ผ่อนคลายไปกับการจิบชาหรือกาแฟรสชาติเข้มข้นหอมกรุ่น พร้อมกับรับประทานชุดน้ำชายามบ่ายและเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสบายๆของวิวเจดีย์กลางน้ำ ที่บริเวณล็อบบี้ ซาลอน ทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างช่วงเวลา 13:30 – 16:30 น. อิ่มอร่อยไปกับชุดน้ำชายามบ่ายต้นตำรับพร้อมเสิร์ฟ ทั้งของว่าง แซนวิชสดใหม่ และเบเกอรี่อันหลากหลาย ไม่ว่า จะเป็น ตับห่านเสริฟบนแผ่นขนมปังกรอบ มินิครัวซ็องสอดไส้ชีสและเห็ดทรัฟเฟิล แซลมอนรมควันบนขนมปังแป้งข้าวไรย์ สโคนแบล็คเคอเรนท์ ทานคู่กับครีม และแยมเบอร์รี เป็นต้น ราคาต่อท่านชุดละ 1450++ บาท ชุดน้ำชาสไตล์ไทย ชุดน้ำชาที่ผสมผสานระหว่างของว่างสไตล์ไทย แซนวิช ขนมไทยชาววัง และเบเกอรี่ รสเยี่ยม ทั้งขนมเบื้องกุ้งหลวง แตงโมปลาแห้ง ขนมจีบนก ไส้กรอกปลาแนม เป็นต้น และขนมไทยตำรับชาววังทั้งขนมชั้นกุหลาบ เกสรลำเจียก ขนมลิ้นจี่ และ ข้าวเหนียวมะม่วงหอมหวาน เพิ่มเติมความอร่อยด้วยสโคนอบสดใหม่และแยมเบอร์รี ราคาต่อท่านชุดละ 1300++ บาท สนใจสอบถามรายละเอียดหรือสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 0 2344 8888 หรืออีเมลล์ [email protected] a Kin News Kinlakestars.com KinlakeStars.com กินแหลกแจกดาว สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร…
ห้องอาหารอิตาเลียน บิสก็อตติ (Biscotti) ซึ่งได้รับการการันตีในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับกรุงเทพฯ ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน ได้ปรับโฉมใหม่ พร้อมแนะนำเชฟเควิน มอนเตอร์ฟาโน หัวหน้าพ่อครัวอิตาเลียนคนใหม่ ซึ่งมีประสบการณ์มากมายจากร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ทั่วโลก คอนเซ็ปต์ดีไซน์การตกแต่งของห้องอาหารบิสก็อตติ เป็นแบบ Italian Trattoria ในบรรยากาศที่หรูหราแบบไม่เป็นทางการเกินไป โดยการตกแต่งเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวตัดกับผนังห้องสีอิฐ ให้ความรู้สึกอบอุ่น ภายในห้องอาหารมีเตาอบพิซซ่าและครัวแบบเปิด ทำให้ได้แขกได้เพลิดเพลินไปกับการปรุงอาหารของเชฟ นอกจากนี้ยังมี private dining room เพื่อความเป็นส่วนตัว รองรับได้ 10 ท่าน เป็นห้องกระจกที่โปร่งมองเห็นเชฟปรุงอาหารอย่างใกล้ชิด รายล้อมด้วยไวน์ดิสเพลย์ดีไซน์หรูหรา เชฟเควิน มอนเตอร์ฟาโน (Kevin Montorfano)ชาวสวิส-อิตาเลียน ผู้มากด้วยประสบการณ์ในหลากหลายห้องอาหารระดับมิชลินสตาร์ทั่วโลก อาทิ Quique Dacosta ห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลิน ที่สเปน, ห้องอาหารระดับ 2 ดาวมิชลิน Dinner by Heston Blumenthal ที่อังกฤษ เป็นต้น ในฐานะหัวหน้าพ่อครัวอิตาเลียนคนใหม่ เชฟจะนำเทคนิคมาปรับใช้ในเมนูยอดนิยมอย่าง ฟอคคาเซียมาสคาโปเน่ชีสและน้ำมันทรัฟเฟิล, ราวิโอลี ออสโซบูโก ให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น และได้รังสรรค์เมนูใหม่เพิ่มเติม อาทิ เนื้อวากิวเสิร์ฟพร้อมฟัวกราส์, เกี๊ยวอิตาเลียนยัดไส้ซีฟู้ด, พาสต้าม้วนปลามังค์ฟิช รวมถึงของหวานทั้ง ทีรามิสุ หรือซิกเนเจอร์อมาลฟีเลมอนเสิร์ฟกับซอร์เบมะนาว เพื่อมอบประสบการณ์ในการทานอาหารที่น่าประทับใจยิ่งขึ้น ห้องอาหารบิสก็อตติ ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวันเวลา 12.00 น.- 14.30 น. และ มื้อค่ำเวลา 18.00 น.- 22.30 น. สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่ง ได้ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ โทร. 0 2126 8866 หรือ อีเมล [email protected] เว็บไซต์…
Chef : – : Feb 2022 Story : Nathapol K./ Photo : Pol.Capt. Kittin A Yao rooftop, Marriott Surawongse Bangkok หากพูดถึงการไปทานอาหารจีนที่ร้านแล้ว หลายคนคงมีภาพในหัวว่าจะต้องเป็นห้องอาหารจีนแบบเดิม ๆ ที่มีโต๊ะเก้าอี้ทำจากไม้ขนาดใหญ่ บรรยากาศภายในดูเคร่งขรึม มีแต่ผู้ใหญ่หรือคนสูงอายุที่ไปพบปะญาติมิตรเพื่อนฝูงกัน จนอาจรู้สึกเบื่อกับการไปทานอาหารจีนแล้ว แต่ในวันนี้ Kinlakestars จะพาทุกท่านไปสัมผัสกับประสบการณ์ทานอาหารจีนที่แตกต่างไปจากภาพจำเดิม ๆ อย่างสิ้นเชิงกัน ที่ YÀO Rooftop Bar (เย่า รูฟท็อป บาร์) YÀO Rooftop Bar ตั้งอยู่ที่โรงแรม Bangkok Marriott Hotel The Surawongse บนชั้น 33 หรือจะเรียกว่าดาดฟ้าชั้นบนสุดก็ได้ โดย YÀO Rooftop Bar นั้น เป็นส่วนหนึ่งของ YÀO Restaurant ซึ่งอยู่ที่ชั้น 32 ของโรงแรมดังกล่าว โดยจะต้องขึ้นบันไดหรือลิฟท์พิเศษไปอีกหนึ่งชั้น เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 33 แล้ว ก็จะพบกับบาร์เปิดโล่งสไตล์โมเดิร์นไชนีสให้บรรยากาศแบบเซี่ยงไฮ้ ที่นั่งจะมีทั้งแบบโซฟาอันแสนสบายและเก้าอี้ธรรมดา โดยแต่ละโต๊ะจะอยู่แยกกันเป็นสัดส่วน มีระยะห่างกันพอสมควรตามมาตรการป้องกันโควิด 19 โดยเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จะเป็นสไตล์วินเทจสีเอิร์ธโทนดูเรียบโก้ แต่แฝงกลิ่นอายความเป็นจีนด้วยการใช้ลวดลายแบบจีนที่โครงของโซฟา เก้าอี้ และระแนงไม้ เสริมด้วยสีสันอันสดใสของหมอนอิงและโคมไฟ ทำให้มีบรรยากาศสนุกสนานมากยิ่งขึ้น สำหรับทิวทัศน์โดยรอบ จะได้เห็นวิวอันตระการตา 360 องศา ของใจกลางกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่โค้งแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพระราม 8 ไล่ไปจนถึงสะพานตากสิน ย่านสาทร สีลม ซึ่งจะมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ตั้งแต่ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ตก ก็จะได้เห็นสีฟ้าครามของท้องฟ้าตัดกับสีเหลืองส้มของแสงอาทิตย์ยามเย็น จรดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและตึกน้อยใหญ่สูงต่ำสลับกันไป เป็นไฮไลท์หนึ่งของที่นี่เลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นตามจังหวะของดวงทิตย์ที่กำลังตกจนลับขอบฟ้าไป ก็จะกลายเป็นบรรยากาศของท้องฟ้าอันมืดมิดตัดกับแสงสีในเมืองหลวง ที่มีแสงของดวงไฟตามตึกและรถราต่าง ๆ ล้อกับดวงดาวและแสงจันทร์บนท้องฟ้า โดยตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารก็จะมีลมพัดมาเป็นระยะ ๆ เคล้ากับเสียงดนตรีแจ๊สที่เปิดคลอเบา…