Author: nutthawat jaruwat

Story : ]Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A I-Sang Bangkok: Fine Dining เกาหลีระดับโลก โดยเชฟ Lee จาก Hansikgoo (1 ดาว) และ Mingle (3 ดาว) สวัสดีครับท่านผู้มีรสนิยมในการรับประทานอาหารทุกท่าน วันที่พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure มีร้านอาหารเกาหลีเปิดใหม่มานำเสนอ ซึ่งเชฟของร้านก็ไม่ใช่ธรรมดา แต่เป็นเชฟในระดับมิชลิน ที่พร้อมจะมาเปิดประสบการณ์อาหารเกาหลีในมุมมองใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์รสชาติและวัฒนธรรมอาหารเกาหลีดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน มีความร่วมสมัย โดยร้าน I-Sang นำโดยเชฟ Steve Sanggun Lee และทีมผู้มากประสบการณ์ ได้นำประสบการณ์ ทั้งการเติบโตในเกาหลีใต้และการทำงานในซิดนีย์ และที่ฮ่องกง มาสร้างสรรค์เมนูที่ผสานรสชาติตามแบบฉบับ “โคเรียนฟิวชัน” ได้อย่างมีเอกลักษณ์ จนกลายเป็นผลงานที่สะท้อนถึงปรัชญาและอุดมการณ์ในการทำอาหารตามแบบฉบับของทางร้านและสะท้อนตัวตนของเชฟออกมาได้อย่างน่าประทับใจ จะเป็นอย่างไรนั้นเราไปรับชมกันเลยครับ รู้จักกับร้าน I-Sang ก่อนอื่นนั้น คำว่า “I-Sang” แปลได้ว่า “อุดมคติ” ในภาษาเกาหลี และยังสอดคล้องกับชื่อเกาหลีของเชฟ (Lee, Sanggun) ทำให้คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงชื่อร้าน แต่ยังสื่อถึง “ปรัชญาและแนวทาง” ที่เชฟต้องการถ่ายทอดให้ผู้คนลิ้มลอง โดยหลังจากที่เชฟสั่งสมชื่อเสียงในการเป็นหัวหน้าเชฟของ Hansik Goo ในฮ่องกง ซึ่งคว้าดาวมิชลินมาได้สำเร็จ การได้รับรางวัล Young Chef Award จาก Michelin Guide Hong Kong & Macau ในปี 2023 ซึ่งด้วยดีกรีของเชฟที่มากทั้งความสามารถและชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับ การมาเปิดร้านอาหารใหม่ในเมืองไทยที่เป็นไฟน์ไดนิ่งสไตล์เกาหลีที่หาไม่ได้ง่าย ๆ จึงเป็นร้านอาหารที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในจุดหมายที่นักชิมควรไปลิ้มลองซักครั้ง Vibes ด้วยการตกแต่งร้านที่เน้นความเรียบหรูแต่สบายๆและอบอุ่นสไตล์โมเดิร์น แต่ยังคงความอบอุ่นแบบเกาหลี โดยเฉพาะจุดเด่นคือการนำเสนออาหารในรูปแบบ “รสชาติแห่งความทรงจำ” ของเชฟ Steve ด้วยเทคนิคสมัยใหม่ ทำให้แต่ละจานเล่าเรื่องราวส่วนตัว ชวนให้ประทับใจทั้งในรสชาติและการจัดวาง พร้อมกับการที่พนักงานทุกคนยังให้บริการอย่างใส่ใจ พร้อมแนะนำแต่ละเมนูอย่างละเอียด…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารอร่อยทุกท่าน สำหรับวันนี้ ทีมงาน Kinandleisure ขออนุญาตมาเล่าสู่กันฟัง กับงานอีเว้นสุดพิเศษที่จัดโดยโรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพฯ ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ร่วมกับทางกรูเมท์ วัน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบการประกอบอาหารคุณภาพเยี่ยม โดยในงานนี้จะเป็นการจับมือกันระหว่างสองเชฟหญิงยอดฝีมือที่มาร่วมสร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษในโอกาสวันสตรีสากล ในงานที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและน่าตื่นตาจากการสาธิตการแล่เนื้อด้วยความชำนาญและความตั้งใจ พร้อมกับการนำเสนออาหารคุณภาพสูงแบบ Fine Dining ผสานกับรสชาติที่เข้าถึงง่าย จากฝีมือของเชฟณัฐ คุณณัฐธิดา หนูอินทร์ หรืออีกฉายาคือ Lady Butcher และเชฟจ๋า คุณธนารัตน์ อู่สุวรรณ จากร้าน Big bite burger ที่ร่วมกับสรรค์สร้างประสบการณือันน่าตื่นตาตื่นใจ Event Details โดยงานนี้เป็นการจัดดินเนอร์แบบ “Four Hands” ซึ่งหมายถึงการร่วมมือกันของสองเชฟในการรังสรรค์เมนูต่างๆ ให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์การทานอาหารคอร์สพิเศษ ซึ่งสถานที่จัดคือร้าน Big bite Burger ภายในโรงแรม โดยเป็นร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันยุค 70-80s มีบรรยากาศสบาย ๆ และเป็นกันเอง เหมาะสำหรับทั้งคนที่อยากแวะมารับประทานอาหารแบบด่วนในวันเร่งรีบเพราะตามปกติเมนูที่เสิร์ฟจะเน้นเป็นเบอร์เกอร์ซึ่งเป็นอาหารที่สามารถทำได้ด้วยความเร็ว หรือสำหรับผู้ที่ต้องการนั่งชิลล์ดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ คู่กับเมนูเบอร์เกอร์จานโปรดหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางท่องเที่ยวหรือทำงาน ที่นั่งมีทั้งแบบโซฟานุ่มและโต๊ะเก้าอี้สบาย ๆ จึงสามารถเลือกรูปแบบการนั่งได้ตามต้องการ บริเวณภายในร้านโปร่งและเป็นกันเอง เหมาะสำหรับการพูดคุยกันเพลิน ๆ หรือจะนั่งอ่านหนังสือหรือนั่งฟังเพลงในร้านก็ดีเช่นกัน โดยจุดเด่นของงานนี้ คือเชฟณัฐ ได้ทำการสาธิตการ Trim หรือการตกแต่งเนื้อก่อนทำอาหารให้เห็นกันอย่างเต็มที่ พร้อมกับบรรยายลักษณะของเนื้อประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อประเภท Prime Cut ที่จะเสิร์ฟในงานนี้ ซึ่งจุดหมายของการสาธิตนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นเนื่องในวันสตรีสากลด้วยว่า ผู้หญิงก็สามารถทำงานได้ทุกประเภทโดยที่มีความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายเลย Food ก่อนข้ามื้ออาหารหลักกันเราขอพาทุกท่านมาชมจานกินเล่นอย่า หอยนารมโดย Gourmet one ที่ปรุงทั้งแบบรอคกี้เฟลเลอร์และแบบสดๆ Beef Tartare เป็นทาร์ทาร์จากเนื้อวัวสดคุณภาพสูง สับละเอียด ปรุงรสแบบคลาสสิก เสิร์ฟคู่กับไข่นกกระทาและลูกแพร์ตุ๋นวางข้างๆ โดยเนื้อมีความสดและหวานตามธรรมชาติ ผสานกับรสเปรี้ยวเบาๆ จากเครื่องปรุงตาตาร์…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันที่พวกเราทีมงาน Kinandleisure ขอนำเสนอประสบการณ์ทางอาหารที่น่าประทับใจ จากร้านอาหารชื่อดังใจกลางกรุง ที่จะทำให้วันนี้ทั้งวันของคุณเปี่ยมไปด้วยความสุข โดยในวันนี้ขอนำเสนอ ห้องอาหาร North ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่ง ที่ได้รับการยกย่องจากมิชลินไกด์ และสร้างชื่อเสียงให้กับอาหารไทยด้วยการเป็นร้านอาหารเหนือแท้ๆ ที่ได้รับการยกย่องจากสื่ออาหารชั้นนำระดับโลก นำเสนอความมหัศจรรย์ทางอาหารด้วยบรรยากาศสวยงามหรูหรา ผสานไปด้วยกลิ่นอายของศิลปวัฒนธรรมสไตล์ล้านนาเข้าไว้กับการปรุงอาหารอย่างประณีต โดยในวันนี้ทาง Kinandleisure จะขออนุญาตนำพาทุกท่านไปสัมผัสกับอาหารภาคเหนือ ด้วยเมนูชวนลิ้นลองที่ผสมผสานทั้งความเป็นดั้งเดิมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่แต่งเติมลงบนจานอาหารได้อย่างลงตัว Vibes & Decorations ร้าน North Restaurant ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 33 สามารถเข้ามาได้ง่ายและทางร้านมีพื้นที่จอดรถภายในบริเวณ ทำให้สะดวกสบายสำหรับผู้ที่ขับรถมาเอง หรือสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีพร้อมพงษ์ เดินผ่านสวนเบญจสิริรับอากาศบริสุทธิ์สักครู่ จากนั้นข้ามมายังฝั่งซอยสุขุมวิท 33 แล้วเดินต่ออีกไม่ไกลก็จะพบร้าน North ซึ่งเป็นลักษณะบ้านหลังสวย โดยเป็นบ้านไม้สักเก่าของครอบครัวพานิชพัฒน์ ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนา การปรับเปลี่ยนนี้ไม่ใช่เพียงแค่รีโนเวตโครงสร้างอย่างเดียว แต่ยังคงใส่ใจและเคารพในรายละเอียดดั้งเดิมของบ้าน เช่น การโชว์ โครงสร้างไม้สัก ที่คงความงดงามแบบไม้เก่าไว้อย่างชัดเจน บางมุมยังมีการนำ ภาพเขียนหรือภาพวาด แนวศิลปะเหนือมาประดับเพิ่มเสน่ห์ ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงเรื่องราวและกลิ่นอายล้านนาแบบแท้จริง โดยโทนสีหลักที่ถูกเลือกใช้ในการตกแต่งคือ สีเขียว ซึ่งโดดเด่นตั้งแต่ภายนอกร้านจวบจนภายใน ชวนให้นึกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าภาคเหนือ ประกอบกับรายละเอียดการเลือกวัสดุที่มีผิวสัมผัสของไม้หรือโครงสร้างไม้ ทำให้เกิดความรู้สึก อบอุ่น อนุรักษ์ และหรูหรา ไปพร้อมกัน ยิ่งเมื่อผนวกกับแสงไฟสลัวแบบซ่อนตามกำแพงหรือแสงโคมไฟสีอ่อน ๆ ก็สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและโรแมนติกอย่างน่าประทับใจ ทันทีที่ก้าวผ่านประตูร้าน คุณจะได้สัมผัสถึงความพิถีพิถันในการตกแต่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาณาจักรล้านนาในอดีต อุดมไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างโคมไฟไม้สลัก เส้นสายลวดลายผ้าทอมือ และกลิ่นหอมของเครื่องเทศอ่อน ๆ ที่อบอวล ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายแต่ทรงคุณค่า ให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินทางข้ามกาลเวลาไปสู่ดินแดนทางภาคเหนืออันที่เปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมอันมีมนต์ขลังและเปี่ยมเสน่ห์ ซึ่งสร้างบรรยากาศที่แตกต่างทั้งในช่วงการรับประทานอาหารในช่วงเย็น หรือช่วงค่ำ ล้วนให้บรรยากาศอันสุขสบาย อีกหนึ่งไฮไลต์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของร้าน คือ พื้นที่เรือนกระจก ที่ต่อเติมขึ้นมาใหม่ โดยมีโครงสร้างไม้เชื่อมกับตัวบ้านหลังเก่าได้อย่างกลมกลืน ด้านบนประดับ โคมไฟยี่เป็ง ให้แสงนวลตา ชวนให้นึกถึงเทศกาลโคมลอยอันเป็นประเพณีที่โด่งดังของภาคเหนือ…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับ ท่านผู้ชื่นชอบการรับประทานอาหารอย่างมีรสนิยมทุกท่าน วันนี้พวกเราทางทีมงาน Kinandleisure มีร้านอาหารที่ดี ๆ มานำเสนอกันอีกเช่นเคย โดยในคราวนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เป็นโอมากาเสะแบบฟิวชั่นที่เสิร์ฟในลักษณะของไคเซกิ โดยคาดว่าทุกท่านน่าจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อห้องอาหาร Hashiri Bangkok มาแล้ว ซึ่งห้องอาหารนี้ตั้งอยู่ในโรงแรม The Athenee Hotel ย่านถนนวิทยุ ทำเลใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกและเปี่ยมไปด้วยความหรูหรา ซึ่งเมื่อแรกก้าวเข้ามาในร้าน จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการต้อนรับแบบญี่ปุ่นซึ่งผสานกับความทันสมัยได้อย่างแนบเนียน ใครที่กำลังมองหาประสบการณ์โอมากาเสะแบบพรีเมียม หรือคอร์สญี่ปุ่นฟิวชั่นที่ปรุงด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลก ร้านนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งและห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆ ครับ รู้จักกับ Hashiri แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น Hashiri เป็นแบรนด์ร้านอาหารระดับไฮเอนด์ที่มีชื่อเสียงและเติบโตในต่างประเทศ มีจุดเด่นคือมุ่งเน้นการนำเสนอวัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาล ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเอง “Hashiri” สื่อถึง “การเริ่มต้นของฤดูกาล” หรือช่วงแรกที่วัตถุดิบประจำฤดูกำลังมีรสชาติยอดเยี่ยมที่สุด ทีมเชฟของร้านจึงทุ่มเทในการคัดสรรวัตถุดิบตามฤดูกาลจากแหล่งที่ดีที่สุด ซึ่งรวมถึงการคัดสรรวัตถุดิบในประเทศไทยเช่นกัน ตลอดจนการนำเข้าส่วนประกอบหลัก ๆ จากญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ ที่โดดเด่น เพื่อให้แขกได้สัมผัสรสชาติอาหารที่สดใหม่และคุณภาพสูงสุด สำหรับ “Hashiri Bangkok” ในโรงแรม The Athenee Hotel นั้น ออกแบบบรรยากาศให้นั่งสบาย มีความหรูหรา โมเดิร์น และมีความเป็นส่วนตัว จุดเด่นของร้านคือการผสมผสานเทคนิคการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เช่น การแล่ปลา การทำดาชิ หรือซอสสูตรดั้งเดิม มาประยุกต์กับทักษะการทำอาหารยุคใหม่ ร่วมกับการนำเสนอแบบโมเดิร์น เน้นความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบจนถึงการจัดจานบนโต๊ะ รังสรรประสบการณ์แปลกใหม่สุดประทับใจมิลืมเลือน Decorations and Service ทันทีที่มาถึง คุณจะพบกับการตกแต่งที่ประณีตในโทนสีเรียบหรู เฟอร์นิเจอร์เน้นวัสดุคุณภาพดี ทั้ง ไม้ หนัง และแสงไฟที่สะท้อนถึงความเป็นอัตลักษณ์ญี่ปุ่นร่วมสมัย พื้นที่ของร้านออกแบบให้มีที่นั่งหลายรูปแบบ ทั้งเคาน์เตอร์บาร์สำหรับผู้ที่ต้องการชมเชฟปรุงอย่างใกล้ชิด และโต๊ะส่วนตัวสำหรับการมาเป็นคู่หรือกลุ่มเล็ก ๆ ตลอดจนมีพื้นที่ห้องส่วนตัวให้บริการเพื่อประสบการณ์อาหารอย่างเป็นส่วนตัว ในขณะที่พนักงานบริการเป็นกันเอง มีความรู้ลึกเกี่ยวกับเมนูและวัตถุดิบ เชฟเองก็มักจะออกมาแนะนำจานต่าง ๆ พร้อมตอบคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาและกระบวนการปรุงอย่างเป็นกันเอง จุดนี้สร้างความประทับใจให้ผู้ที่มาเยือน เพราะได้รู้ที่มาที่ไปของอาหารแต่ละคำ ช่วยให้ดื่มด่ำกับมื้ออาหารมากขึ้น Menu หนึ่งในหัวใจหลักของ…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้รักในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้พวกเรา ทีมงาน Kinandleisure มีประสบการณ์การรับประทานอาหารอันสุดวิเศษจะมานำเสนออีกเช่นกันครับ คราวนี้จะมาในธีมของอาหารจีนสุดเลิศรส ซึ่งอาหารของที่นี่นั้น พวกเราทีมงานที่ได้โอกาสไปรับประทานต่างล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “เดอะเบส” กลายเป็นร้านที่ประทับอยู่ใจของพวกเราไปตราบนานเท่านาน โดยเมื่อเอ่ยถึงร้านอาหารจีนสุดหรูในกรุงเทพฯ ที่โดดเด่นทั้งด้านรสชาติ ตำแหน่งที่ตั้ง และบรรยากาศ ทางเราขอภูมิใจนำเสนอร้าน Yu Ting Yuan ในโรงแรม Four Seasons Bangkok ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าผสมผสานประสบการณ์อาหารจีนสไตล์กวางตุ้งดั้งเดิมเข้ากับการนำเสนออันร่วมสมัย จนได้รับทั้งชื่อเสียงและรางวัลระดับสูงมาแล้ว ในรีวิวครั้งนี้ พวกเรา Kinandleisure ขอชวนทุกท่านท่องเข้าสู่โลกของอาหารจีนไฟน์ไดนิ่งที่มากกว่าคำว่า “อร่อย” แต่ยังมีทั้งความละเมียดละไม ความประณีต และความใส่ใจในรายละเอียดอย่างเต็มเปี่ยม บรรยากาศและการตกแต่ง ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ Yu Ting Yuan เราจะสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าของพื้นที่ที่มีเพดานสูง โปร่ง และผนังกระจกที่เปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ พร้อมวิวจากกระจกใสที่เปิดให้เห็นบริเวณบ่อน้ำด้านหน้าล็อบบี้ของโรงแรม พร้อมต้นไม้ประดับสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในห้องอาหาร ทำให้ได้รับความรู้สึกเหมือนเราได้เดินเข้าสู่ “หอละครแดนมังกรแห่งความฝัน” ที่พร้อมสะกดทุกสายตาด้วยทิวทัศน์อันงดงาม การตกแต่งในร้านสะท้อนรายละเอียดสไตล์จีนร่วมสมัย ที่ให้ความรู้สึกหรูหราแบบ “Less is more” ไม่ได้จัดวางลวดลายจีนดั้งเดิมหนาแน่น แต่เลือกใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเอกลักษณ์และสื่อถึงความงดงามของศิลปะจีนโบราณ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ Yu Ting Yuan มีทั้งความเป็นทางการแต่ก็เป็นมิตร เหมาะกับการมาดินเนอร์พิเศษหรือโอกาสเฉลิมฉลองต่าง ๆ การออกแบบทางสถาปัตยกรรมและการจัดสรรพื้นที่ของห้องอาหาร Yu Ting Yuan, Four Seasons Bangkok Yu Ting Yuan ไม่ใช่เพียงห้องอาหารจีนกวางตุ้งระดับมิชลินสตาร์ แต่ยังเป็นงานออกแบบที่สะท้อนปรัชญาทางสถาปัตยกรรมและศิลปะจีนในบริบทของโรงแรมระดับลักชัวรีริมแม่น้ำเจ้าพระยา แนวคิดการออกแบบ: บทสนทนาระหว่างประเพณีและความร่วมสมัย พื้นที่ของ Yu Ting Yuan ถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบสถาปัตยกรรมของ Four Seasons Bangkok แต่ยังคงอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่สะท้อนความงามแบบจีนร่วมสมัย นักออกแบบเลือกใช้แนวคิด “Chinese Pavilion” หรือศาลาริมน้ำ มาสร้างลำดับของพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกสงบและหรูหราไปพร้อมกัน ความสมดุลระหว่างสัดส่วนของพื้นที่ ภาษาของวัสดุ…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับ เหล่าผู้ชื่นชอบรับประทานอาหารอย่างมีรสนิยมทุกท่าน วันนี้ พวกเราทีมงาน Kinandleisure มีร้านอาหารที่น่าสนใจมาแนะนำกันอีกเช่นเคยครับ โดยในคราวนี้เป็นรอบของอาหารจีนร่วมสมัยที่ผสมผสานทั้งความเป็นฮ่องกงแท้ ๆ เข้ากับศิลปะการปรุงอาหารที่สุดยอด ประกอบกับองค์ประกอบด้านวิวทิวทัศน์แบบสุดขอบฟ้า ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น พวกเราไปรับชมไปพร้อม ๆ กันเลยครับ บทนิยามใหม่ เปิดประตูสู่ความอร่อยสไตล์จีนร่วมสมัย หากพูดถึงร้านอาหารจีนแนวใหม่ที่กำลังมาแรง ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่าน น่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับร้าน “K by Vicky Cheng” เป็นชื่อแรก ๆ ในลิสต์ เพราะร้านนี้ถือเป็นโปรเจกต์ใหญ่ล่าสุดของเชฟชื่อดังระดับมิชลินสตาร์ เชฟ “Vicky Cheng” ซึ่งในคราวนี้เชฟได้เดินทางตรงจากฮ่องกงมาแสดงฝีมือถึงกรุงเทพฯ เพื่อเปิดตัวเมนูใหม่อันน่าสนใจ ก่อนอื่นต้องขอบอกเล่าเกี่ยวกับสถานที่เสียก่อน โดยตัวร้านได้ตั้งโดดเด่นอยู่บนชั้น 56 ของตึก The Empire ใจกลางย่านสาทร ซึ่งทุกท่านจะได้สัมผัสถึงความหรูหราและความพิเศษแบบพรีเมียมตั้งแต่แรกเริ่มที่เดินเข้าตึกจนขึ้นลิฟต์ ซึ่งจะเหมือนกับได้ถูกเวทย์มนต์ตรึงใจไว้จากการตกแต่งที่วิจิตรตระการตา เท่านั้นยังไม่พอ เพราะทันทีที่ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ ท่านจะได้พบกับวิวเมืองที่สวยสะกดตา ยิ่งหากมาตอนช่วงกลางคืนที่มีแสงสีเต็มที่แล้วยิ่งรู้สึกประทับใจ ผนวกกับการตกแต่งภายใน ทั้งภายในตัวตึกและภายในตัวร้านเอง ที่เน้นความหรูหราทันสมัย ใช้โทนสีเข้มผสานกับแสงไฟอุ่น ๆ ให้บรรยากาศร่วมสมัยแบบมีระดับ สำหรับการเดินทางก็สะดวกสบาย ใกล้สถานี BTS ช่องนนทรี ซึ่งเดินออกมาก็จะถึงได้โดยไม่ไกล สำหรับท่านที่ขับรถมา ทางตึกก็มีที่จอดรถพร้อมบริการอย่างเหลือเฟือ เพียงแต่ท่านที่เดินทางในเวลาเร่งด่วน หรือเวลาเลิกงานอาจต้องเผื่อเวลาซักหน่อย เนื่องจากบริเวณนั้นรถติดมากครับ จุดเริ่มต้นของ “K by Vicky Cheng” ร้าน “K by Vicky Cheng” เปิดให้บริการครั้งแรกในช่วงปีที่ผ่านมา และได้นำเสนอผลงานเมนูที่น่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยการชูจุดเด่นอาหารจีนแบบดั้งเดิมสไตล์ฮ่องกงได้อย่างน่าสนใจ และยังเพิ่มเติมด้วยการปรุงและประกอบอาหารด้วยเทคนิคการทำอาหารสมัยใหม่ จนผสมผสานกลายเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ แต่ยังคงแก่นแท้ของความเป็นจีนแบบต้นตำรับไว้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ วัตถุดิบที่ใช้ก็ยังมีความใส่ใจ ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงรสหลักบางอย่างจากต้นทางมาใช้เพื่อให้ตัวอาหารมีรสชาติและรสสัมผัสที่คงความดั้งเดิมไว้มากที่สุด สำหรับเชฟวิคกี้ เฉิง (Vicky Cheng) เป็นที่รู้จักในฐานะเชฟมิชลินสตาร์จากฮ่องกง ที่เปี่ยมประสบการณ์ในการทำอาหารจีนทั้งแบบดั้งเดิมและประยุกต์ ซึ่งได้มีการพิสูจน์ตนเองมาแล้วจากรางวัลมากมายที่ได้รับ…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีท่านผู้มีรสนิยมในการรับประทานอาหารทุกท่านอีกครั้งครับ วันนี้ ทาง Kinandleisure ขอยกเว็บไซต์มากินลมชมวิวกันที่ริมแม่น้ำ พร้อมกับขอบอกกล่าวว่า หากท่านผู้อ่านกำลังมองหาร้านที่จะมอบประสบการณ์อาหารไทยร่วมสมัยที่แสดงออกถึงความเป็น “อาหารไทย” ที่แฝงความโมเดิร์น ในขณะที่ถ่ายทอดความเป็นไทยผ่านวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม มีความเป็นท้องถิ่นและมี Story to tell พร้อมบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต้องขอบอกเลยว่าร้าน Chao Phraya Terrace คือจุดหมายสำคัญที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ด้วยการเป็นร้านอาหารที่ชูความเป็นสไตล์ “จากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร” ที่ได้รวบรวมความอุดมสมบูรณ์ของภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยมารังสรรค์และปรุงแต่งจนกลายเป็นเมนูที่โดดเด่น โดยมี เชฟป๊อด คุณเจษฎา เครือพันธุ์ เป็นหัวหน้าเชฟ (Chef de Cuisine) พร้อมทีมงานร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์มาสู่บนจาน พร้อมด้วยมุมมองสวยน่าจับตาของแม่น้ำเจ้าพระยาในยามอาทิตย์อัสดง บรรยากาศและการออกแบบ ตัวร้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาภายในบริเวณโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ให้บรรยากาศสุดสบายที่แฝงไปด้วยความเรียบหรูดูดี สะท้อนความเป็น casual luxury และการที่มีพื้นที่เปิดโล่ง มีลมริมแม่น้ำโกรกเย็นสบาย ทำให้ผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศและทิวทัศน์ของแม่น้ำสายประวัติศาสตร์ รายล้อมด้วยแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่สะท้อนบนผิวน้ำในช่วงยามตกดิน โดยเฉพาะช่วงเย็นพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีทองสาดส่องให้บรรยากาศแสนโรแมนติก เหมาะกับการนั่งสังสรรค์ พร้อมชมวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเพลิดเพลิน และในยามค่ำคืน สถานที่แห่งนี้ก็พร้อมเติมเต็มบรรยากาศโรแมนติกและสร้างความดื่มด่ำผ่อนคลายไปกับแสงสีในยามราตรี แนวคิด “ฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร” และศิลปะการย่างด้วยถ่าน หัวใจหลักของ Chao Phraya Terrace คือการคัดสรรสุดยอดวัตถุดิบไทยจากทุกภูมิภาคของประเทศ โดยวัตถุดิบทุกชิ้นล้วนมีเรื่องราวเฉพาะและความเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน เช่น เนื้อวากิวมหาสารคาม ซึ่งมีความพิเศษตรงที่โคเนื้อได้รับอาหารผสมข้าวหอมมะลิ ทำให้มีลายไขมันแทรก (marbling) ที่สวยงามและรสชาติละมุน หมูออร์แกนิกจากราชบุรี (ที่เลี้ยงด้วยสมุนไพรไทยแบบอินทรีย์ กุ้งกล้วย จากทะเลอันดามัน ทางภาคใต้ซึ่งมีรสชาติอันเลื่องลือและเป็นที่รู้จัก หรือน้ำตาลมะพร้าวจากสมุทรสงคราม ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องรสหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ เป็นต้น นอกจากการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยเป็นตัวชูรสชาติแล้ว เชฟและทีมงานยังให้ความสำคัญกับการใช้ ถ่านไม้มะพร้าว จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ ถ่านไม้ลิ้นจี่ จากจังหวัดน่าน เพื่อดึงความหอมควันอันเป็นเอกลักษณ์และรสชาติที่ลุ่มลึกให้กับวัตถุดิบ สะท้อนถึงหลักการของเชฟที่ว่า “ไฟเป็นหัวใจสำคัญของการทำอาหารทั้งปวง” จึงเกิดเป็นมิติใหม่ของอาหารไทยที่ผสานเทคนิคการปรุงด้วยไฟและถ่านอย่างประณีต แต่ละจานเป็นเสมือนการยกย่องและขอบคุณเกษตรกรไทยผู้ส่งมอบวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากแต่ละภูมิภาค นำเสนอความโดดเด่นของแต่ละภูมิภาค ผสานกับทักษะของเชฟป๊อดและทีมงาน…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีทุกท่านที่ชื่นชอบในการรับประทานอาหารเลิศรสอีกครั้งครับ ในปี 2568 นี้ เป็นวาระอันดี หากใครกำลังมองหาร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์โมเดิร์น ที่ให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุดของความสดใหม่ของวัตถุดิบ ชนิดแบบที่เรียกได้ว่า “สดใหม่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” กับวัตถุดิบคุณภาพระดับพรีเมียม ท่ามกลางร้านอาหารบรรยากาศดีใจกลางกรุง มีเมนูหลากหลายให้ได้ลิ้มลอง เริ่มไปตั้งแต่ซูชิบาร์ ไปจนถึงเทปปันยากิและค็อกเทลบาร์ ซึ่งร้าน Shinsen ฉบับปรับปรุงใหม่นี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงสำหรับท่านที่ชื่นชอบการทานอาหารสดใหม่ ด้วยทางร้านมาพร้อมกับแนวคิด “Alive-Style Dining” ซึ่งหมายถึงการคัดสรรวัตถุดิบมาประกอบอาหารแบบสดใหม่ ซึ่งขอย้ำอีกครั้งว่า สดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ด้วยการมีไฮไลท์จาก Live Tank ที่นำเข้าและเก็บสัตว์ทะเลสดๆ ไว้ให้ลูกค้าสัมผัสความสดได้แบบใกล้ชิด ซึ่งสัตว์ทะเลในตู้เหล่านี้ก็จะถูกมานำขึ้นจานให้เห็นกันแบบสด ๆ เต็มตากันอีกทีเดียว ทำความรู้จัก Shinsen ร้าน Shinsen (ชินเซน) เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2016 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบและความสดใหม่ของรสชาติ ซึ่งร้านได้ทำการรีโนเวทใหม่และย้ายตัวร้านมาตั้งอยู่บริเวณ หน้า Tops Food Hall ซอยสุขุมวิท 39 โดยมีพื้นที่ครอบคลุมทั้งสองชั้น เดินทางสะดวก พร้อมบรรยากาศโปร่งสบาย เหมาะกับการมานั่งทานอาหารหรือแฮงเอาต์กับเพื่อนๆ ได้ตั้งแต่กลางวันยาวไปจนถึงดึก โดยความโดดเด่นของ Shinsen คือการแบ่งโซนรับประทานอาหารอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โซน Live Tank ที่เป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ที่ขนวัตถุดิบสดๆ อย่าง ปูทาราบะเป็นๆ ชนิดที่ขยับทักทายเราได้ ล็อบสเตอร์แคนาดา หอยเป๋าฮื้อ ฯลฯ มาให้ลูกค้าได้เลือกกันตรงหน้า เรียกได้ว่าอยากทานอะไรสามารถจิ้มได้เลย นอกจากนี้ ในร้านยังมีบริเวณที่เป็น Sushi Bar ที่เชฟพร้อมที่จะรังสรรค์เมนูซูชิและซาชิมิ ซึ่งความสดของวัตถุดิบนี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงความอร่อยของเมนูที่เรียบหรูเหล่านี้ และยังมี Teppanyaki Bar ที่เป็นลักษณะแบบครัวเปิด สามารถมองเห็นการประกอบอาหารได้อย่างชัดเจน ใครชอบความสนุกในการชมเชฟปรุงอาหารต่อหน้าต่อตา จะต้องไม่พลาดกับโซนนี้ครับ นอกจากนี้ ในร้านยังมี Cocktail Bar by Midlife Crisis Bangkok มุมเครื่องดื่มที่สรรค์สร้างค็อกเทลหลากรสด้วยวัตถุดิบคุณภาพ เหมาะแก่การผ่อนคลายหลังมื้ออาหารอีกด้วยครับ…

Read More

Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านผู้รักในการรับประทานอาหารเลิศรสทุกท่าน วันนี้ทางทีมงาน Kinandleisure ก็มีร้านขนมดี ๆ ในราคามิตรภาพมานำเสนอกันอีกครั้งแล้ว โดยเชื่อว่าหลายท่านน่าจะคุ้นเคยกับร้าน Bijoux de Beurre Echire เป็นอย่างดี ทั้งจากรีวิวเดิมของทางเรา และคุณภาพที่คุ้มราคาเสียจนอยากไปลองอยากไปซื้อมาทานในทุกโอกาสทุกครั้งไป ซึ่งในวันนี้ทางทีมงานก็หลงเสน่ห์เนยแห่งดินแดนน้ำหอมเป็นอีกครั้งครา ซึ่งตอนย้ำประโยควรรคทองที่ว่า “แค่เนยดี ทำอะไรก็อร่อย” ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปรับชมกันเลยครับ ทำให้ความอร่อยตราตรึงใจ ด้วยเนย Echire ผลิตภัณฑ์เนยชั้นเยี่ยมของโลก ร้าน Bijoux de Beurre Echire เป็นร้านหนึ่งเดียวในไทยที่ใช้เนย Echire ในการทำขนมปังและเค้กทุกชนิด ซึ่งเป็นตามชื่อของร้าน ที่มีชื่อเนย Echire ใส่อยู่ด้วย มาพร้อมกับสโลแกนสุดเก๋ “With The Best Butter, Everything is good” ซึ่งเนย Echire มีความพิเศษคือการได้รับมาตรฐานระดับ AOP และเป็นเนยที่ผลิตในเฉพาะแหล่งพื้นที่ในฝรั่งเศสเท่านั้น มีกรรมวิธีที่พิเศษจากเนยปกติ จากการที่ผลิตด้วยการปั่นแบบดั้งเดิมในถังไม้ มีกลิ่นหอมและสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้นอย่างที่รู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้สร้างกลิ่นหอมและรสสัมผัสที่จะหลงเหลืออยู่ในปากแม้จะทานไปแล้ว และเป็นกลิ่นหอมธรรมชาติที่ไม่ได้ทำให้เกิดความเลี่ยน ทำให้สามารถรับประทานขนมต่อไปได้เรื่อย ๆ เป็นจุดเด่นที่หาไม่ได้จากเนยยี่ห้ออื่นและในร้านอื่น ท่านสามารถไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์แห่งเนย Echire นี่ได้ที่ร้าน Bijoux de Beurre Echire ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 สาขา โดยสาขาแรกตั้งอยู่ในโครงการ Earth Ekkamai ซอยสุขุมวิท 63 ป้ายร้านสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากป้ายหน้าโครงการ มีที่จอดรถแบบมีค่าบริการ แต่สามารถแสตมป์ได้ที่ร้าน หรือท่านที่สะดวกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า สามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีเอกมัยแล้วเดินต่ออีกนิดเดียวก็จะถึงที่หมาย โดยอีกสาขาหนึ่งจะอยู่ที่ Emsphere ชั้น G ใกล้กับ Gourmet Market ซึ่งสามารถเดินทางไปได้สะดวกเช่นกันครับ อิ่มอร่อยกับขนมสุดสร้างสรรค์ที่เปี่ยมด้วยไอเดียและความใส่ใจ Savoury สุดมหัศจรรย์…

Read More

Story : Nuttawat J.. / Photo : Pol.Capt. Kittin A สวัสดีครับท่านผู้มีรสนิยมในการรับประทานอาหารทุกท่าน วันนี้ทีมงาน Kinandleisure แม้มิได้มีร้านอาหารสุดตระการตามาแนะนำกัน แต่ก็มีประสบการณ์สุดอบอุ่นหัวใจและเป็นการเปิดโลกทัศน์ทางศิลปะทางอาหารที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟังต่อท่านผู้อ่านกันครับ เนื่องด้วยทางทีมงาน Kinandleisure ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน Mucho Gusto Peruvian Fest ที่ทางสถานทูตเปรูประจำประเทศไทยได้จัดขึ้น เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารเปรู ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารที่ขึ้นชื่อถึงความอร่อยและการพลิกแพลงโดยการผสมผสานระหว่างศิลปะการประกอบอาหารแบบต่าง ๆ ทั่วโลก และกับวัตถุดิบท้องถิ่นของเปรูเข้าด้วยกัน จึงเป็นเหตุให้อาหารเปรูเป็นที่ชื่นชอบและน่าหลงใหล เห็นเด่นชัดจากการที่ทางสถานทูตได้เชิญเชฟยอดฝีมือจากเปรูจากที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก มาร่วมกันปรุงอาหารให้กับผู้เข้าร่วมได้ทดลองเปิดประสบการณ์ทางอาหารกัน โดยจะเป็นอย่างไรนั้น เรามาชมกันเลยดีกว่าครับ เวทย์มนต์แดนละติน ภูมิหลังแห่งความหลากหลาย อาหารเปรู (Peruvian Cuisine) เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมด้านอาหารที่มีการสะท้อนประวัติศาสตร์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่มีการปรับตัวผ่านการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นกับวัฒนธรรมที่หลากหลายจากชนเผ่าพื้นเมือง อินคา ไปจนถึงอิทธิพลจากสเปน ญี่ปุ่น จีน และแอฟริกา ซึ่งทำให้รสชาติและเทคนิคการทำอาหารมีความโดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่น ๆ มีการพลิกแพลง ในขณะที่ยังคงมีเสน่ห์อยู่ในตัวเอง มักผสานรสเปรี้ยว เผ็ด เค็ม และหวานอย่างลงตัว และวิวัฒนาการมาสูอาหารเปรูร่วมสมัย (Modern Peruvian Cuisine) ที่นำเทคนิคการปรุงระดับโลกจากที่ต่างๆ มาใช้ โดยที่ไม่ลืมรากเหง้าวัฒนธรรม วัตถุดิบและรสชาติแบบดั้งเดิม ที่เคยได้เชฟชื่อดังหลายท่าน อาทิ เชฟ Gastón Acurio ที่ได้นำอาหารเปรูเข้าสู่สายตาชาวโลกมาแล้ว โดยภูมิประเทศของเปรูนั้น มีทั้งชายฝั่งทะเลเทือกเขาแอนดีส ป่าฝนอเมซอน ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้วัตถุดิบในอาหารเปรูมีมากมายหลากหลายชนิด ตั้งแต่ข้าวโพดชนิดต่าง ๆ ไปจนถึงปลาและอาหารทะเลสด แม้กระทั่งพืชผลต่างๆ ที่สามารถใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่มได้หลายอย่าง ซึ่งแม้แต่วัตถุดิบสำหรับเตกีลาอย่าง อะกาเว เอง ก็ขึ้นในบริเวณฝั่งละตินอเมริกาเช่นกัน สมบัติแห่งอเมริกาใต้ สัมผัสกับวัตถุดิบที่นำมาประกอบเวทมนต์บนโต๊ะอาหาร เมื่อพูดถึงอาหารเปรูแล้ว จะหลีกเลี่ยงการพูดถึงวัตถุไปก็คงจะไม่ได้ เพราะสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารเปรู คือวัตถุดิบที่มีความเฉพาะตัว รวมถึงกรรมวิธีที่ประกอบอาหารแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นเสน่ห์ที่หาที่ใดอื่นมิได้ โดยจะขอนำเสนอวัตถุดิบหลัก ๆ ดังนี้ครับ Chicha de Jora เครื่องดื่มหมัก (เบียร์) แบบดั้งเดิมจากข้าวโพดเหลือง มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นดิน…

Read More