“Details make differences. Details make perfection. Details make legend.” 5 Stars
วันนี้ทาง kinlakestars ขอเสนอ Afternoon tea ณ Author’s Lounge ที่ตั้งอยู่ใน Mandarin Oriental โรงแรมที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานของประเทศไทย ที่ได้รับการกล่าวขาน โด่งดังระดับโลก
Author’s Lounge เป็นส่วนที่ตั้งอยู่ในตึก Author’s Wing ซึ่งเป็นอาคารประวัติศาสตร์กว่า 140 ปี เป็นอาคารที่เป็นตึกดั้งเดิมของโรงแรม ตัวสถาปัตยกรรมภายนอกนั้นเป็นตึกสไตล์โคโลเนียล มีความสวยงามตามแบบตึกที่ได้รับอิทธิพลการออกแบบจากทางยุโรป ด้านหน้าตึกหันไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อเดินเข้ามาจากทางล็อบบี้ก็จะเห็นโถงทางเดินขึ้นที่สวยงาม เพื่อขึ้นไปยังระเบียงส่วนห้องพัก (เฉพาะแขกผู้พักอาศัยเท่านั้น) ตัวโถงกลางที่ถูกออกแบบเป็นสวนกลางบ้าน (ปัจจุบันมีหลังคากระจก เพื่อให้อยู่ในเครื่องปรับอากาศ ให้มีความเย็นสบาย)
มีความสวยงาม ด้วยการตกแต่งแบบลายฉลุ และการที่ให้มีแสงธรรมชาติส่องเข้ามา ประกอบกับการจัดที่นั่ง การใช้เฟอร์นิเจอร์ การประดับตกแต่งด้วยรูปภาพนักเขียนระดับโลก การใช้ดอกไม้สดและต้นไม้ ทำให้เหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในอาคารและช่วงสมัยเวลายุคอาณานิคม
นอกจากส่วนโถง ยังมีอีก 2 ห้องที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งเดิมมิได้เปิดให้นั่งจิบชา พึ่งเริ่มเปิดหลังการปรับปรุงครั้งใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา สวย สง่า น่านั่ง โดยทั้งสองห้องนี้ใช้ชื่อจากนักเขียนชื่อดังที่เคยมาเยือนและมีส่วนร่วมกับอาคารแห่งนี้นั้นคือห้อง Joseph Conrad เป็นส่วน ที่ติดกับสวนที่เชื่อมต่อไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา ในส่วนห้องนี้สามารถนั่งจิบชาไปพร้อมกับชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้
และอีกห้อง ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม จากกระจกบานใหญ่กรอบสีทองที่แกะสลักจากไม้ได้วิจิตรงดงาม บรรยากาศโดยรวมห้องนี้ ให้ความรู้สึกสงบที่สุดในบรรดาห้องทุกห้อง
ยิ่งเมื่อได้ฟังการเล่นดนตรีของนักแสดงในช่วง บ่าย 2 ลงไป ยิ่งทำให้บรรยากาศการจิบชายามบ่ายกับเพื่อนๆ หรือ ครอบครัวเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมไปได้เลยครับ
ในส่วนของชุด Afternoon tea (1450++ บาทต่อคน) ที่จะมารีวิววันนี้ เราจะสามารถเลือกชนิดของชาได้ 1 อย่างและ มีของว่าง 2 แบบคือแบบไทย หรือแบบตะวันตก ซึ่งจะสามารถเติมได้ตลอด แต่ไม่สามารถเปลี่ยนชนิดของชาได้
ในส่วนของชาที่ได้ รีวิว ครั้งนี้คือ Le Grande Dame ที่แปลเป็นไทยว่า สุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์ เป็นชาเขียวที่ทาง Mariage Freres ได้ปรุงผสมขึ้นเป็นพิเศษในโอกาสครบรอบ 140 ปีของทางโรงแรม ชาจะมีรสเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆของกุหลาบที่มีแทรกด้วยกลิ่นสดชื่นของผิวส้มเบาๆ ให้ความรู้สึกนุ่มและสดชื่น เห็นเป็นมโนภาพหญิงสวยอันสูงศักดิ์ ในชุดกระโปรงชายลูกไม้ ปลายบานยุควิกตอเรียน เมื่อจิบเข้าไป
และชาอีกชนิดคือ Blue dragon เป็นชาที่ทำขึ้นจากการผสมชาดำกับชาขาว ที่มีการใส่ดอกเก๊กฮวยเข้าไปตรงกลางก่อนจะนึ่งด้วยมะลิ มัดเป็นก้อนกลม เมื่อนำไปชง ก้อนก็จะแตกตัวออกมา เห็นเป็นดอกไม้บานสะพรั่ง สวยมากครับ ชานี้รสจะเข้มนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับขมหรือฝาด มีความหอมของดอกไม้บางๆ จิบแล้วผ่อนคลายดีครับ
ก่อนเริ่มต้นการจิบชากินขนมและของว่างจะมี Welcome Item เป็น ไอศกรีม มะนาวและขิงเชอร์เบต ซึ่งชวนให้สดชื่น ผ่อนคลาย อยากอาหาร เบาโล่ง และมีกลิ่นอายความเป็นไทย
สำหรับอาหารว่าง ในเซ็ตตะวันตก จะมาในแบบ ชั้นจานที่มี 3 ชั้น และ Scone 2 ชิ้น (plain กับ raisin) ที่มาพร้อมกับแยมกุหลาบ แยมราสเบอร์รี่ และครีมเนย การตกแต่งของขนมและแซนด์วิชทุกชิ้นสวยงามมีรายละเอียดเล็กๆ ทำให้รู้สึกดีตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทานเลย
ในส่วนของ สโคนนั้น ที่นี่จะมีความนุ่ม ไม่แห้ง ไม่แตก ทำให้กินกับครีมเนยหอมๆ และกับแยม ไม่ลื่น ไม่ฝืดคอ เมื่อจิบชาเข้าไปเสริม อร่อยมากเลยครับ
เริ่มจากชั้นล่างสุดจะเป็นของหวาน คือ เค้กผลไม้แบบอังกฤษ เค้กชิฟฟอนส้ม เค้กผลไม้แบบอังกฤษที่มีเนื้อผลไม้แห้งค่อนข้างเยอะ ให้ความหอมคู่กับกลิ่นเนยกับรสหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย ส่วนเค้กชิฟฟอนส้มที่มีกลิ่นส้มกับเนื้อเค้กเบาๆ หอมอร่อยดีครับ
ชั้นที่สองจะเป็น แซนด์วิชเย็น
โดยตัวแรกที่แนะนำจะเป็น หน่อไม้ฝรั่งบนวุ้นมะเขือเทศกับขนมปังซอร์โดขาว ชิ้นนี้ตกแต่งสวยงามมากครับ เมื่อกัดเข้าไป หน่อไม้นุ่มมาก มีรสหวานกับวุ้นมะเขือรสอ่อนๆที่ให้ทั้งความสดชื่นกับรสชาติเบาๆ
ถัดมาเป็นไข่ต้มบนมายองเนสชากับขนมปัง brioche ผักชี ชิ้นนี้ให้รสชาติไข่ต้มที่เข้ากับมายองเนสเป็นอย่างดี เป็นรสชาติที่เข้มข้นขึ้นมา ต่อมาคือ แฮมรมควันมะเขือเทศตากแห้งกับแตง honey dew ชิ้นนี้ผมชอบเป็นพิเศษ มีรสเข้มข้นของมะเขือตากแห้งเข้ากับแฮมเป็นอย่างดี ในส่วนของพายไก่ผักโขมก็ อร่อยกับผักโขมที่เข้ากับไก่ชิ้นเล็กที่เข้ากับกลิ่นเนยหอมๆเป็นอย่างดี อีกชิ้นที่สวยงามดูน่ากินคือ แซลมอนรมควัน ซาวครีมและหอม ชิ้นนี้ถ้าคนชอบแซลมอนรมควันจะต้องชอบ เพราะให้ชิ้นพอดีคำ และยังมีแบบสับอยู่ด้านล่างกำลังพอดี ตัวแซลมอนนุ่มและไม่เค็มเกินไป เข้ากับซาวครีม ได้ดี ส่วนม้วนแซนด์วิชกลม คือ ฮันนี่เกรซแฮมกับครีมชีส ตัวนี้ครีมชีสกับความหอมของแฮมเข้ากันได้ดีครับ และสุดท้ายของชั้นกับ รสชาติสดชื่นเบาๆของแตงกวา ครีมชีส และผักชีลาว (dill) ที่จะให้รสเบา และกลิ่นและความสดชื่นได้ดีครับ
ชั้นบนสุดจะเป็นของหวานหน้าตาสวยงามน่าทาน จะมี ไทม์ และ สตรอเบอร์รี่ครีม ที่มีความนุ่มและเบามากๆ ตัวครีมหอมหวาน มีรสเปรี้ยวนิดจากสตรอเบอร์รี่ผงด้านนอก และเนื้อสตรอเบอร์รี่ด้านใน อร่อยมากครับ ถัดมาคือ เอแคลร์คาราเมลราสเบอร์รี่ ที่ตัวครีมหอมคาราเมล หอมหวานอ่อนๆเสริมด้วยแยมราสเบอร์รี่ด้านในที่เปรี้ยวหวานนิดๆ กับราสเบอร์รี่สดด้านบน เป็นการรวมรสชาติที่ดีมากครับ และก็มีมาการองเฟนเนลสับปะรด ซึ่งตัวนี้ถือว่าทำได้มีมาตรฐานดี อีกชิ้นที่ผมชอบคือ แอปเปิลเขียวกับมะกรูดบิสกิต ตัวนี้จะมีรสเปรี้ยวแซมในความหวานหอมของครีมแอปเปิลเขียว เมื่อทานพร้อมกับแผ่นช็อกโกแลตขาวด้านนอกจะอร่อยดีมาก และชิ้นสุดท้ายคือ ช็อกโกแลตเซเบิ้ล ที่มีทั้งช็อกโกแลตนม ช็อกโกแลตฮาเซลนัท และไวท์ช็อกโกแลต บนแผ่นเค้กบางๆ ให้รสชาติหลายมิติดีครับ
ในส่วนของเซ็ตไทยนั้นจะมาใน เถาปิ่นโตกระเบื้องเคลือบที่สวยงาม 3 ชั้น และสโคนมะม่วงขิง ที่มาพร้อมกับแยมมะม่วง แยมกุหลาบ และครีมเนย
ในชั้นของแซนด์วิช จะมีแซนด์วิชเนื้อปูตะไคร้ที่มีเนื้อปูเน้นๆลดความคาวของกลิ่นปูด้วยตะไคร้ แซนด์วิชไก่สับพริกมะกอกดำก็มีรสชาติเข้มข้นเหมือนอาหารไทยดีครับ เสริมด้วย ไก่ห่อใบเตย ข้าวตังหมูหยอง และเมี่ยงคำในใบพลู ให้รสชาติไทยๆได้ดี แต่ก็เข้ากับชานุ่มๆเบาๆ
ในอีกชั้นก็จะมี ขนมช่อม่วง ซึ่งหากินได้ค่อนข้างยากในทุกวันนี้ ไส้ในรสละมุนมันเค็มแป้งนุ่มหนึบกำลังดี และยังมีกะหรี่พัฟไก่แป้งกรอบนอกไส้ในกลิ่นแกงกะหรี่ หอมชั้ดเจน หมี่กรอบที่รสชาติดีมากกรอบ มัน และไม่หวานจนเกินไป
ในชั้นขนมหวาน ก็จะมี ฟักทองสังขยาที่ตัวฟักทองนุ่มและหวานธรรมชาติมากในขณะที่สังขยานุ่มเนียนไม่มีฟองอากาศให้รสอ่อนๆ ไม่หวานแสบคอ ลูกชุบประดับสวยงามน่ารัก ขนมใส่ไส้ โรตีสายไหมที่ไม่ธรรมดา ชิฟฟอนเค้ก และที่เด่นสุดคือข้าวเหนียวมะม่วงคำเล็กๆที่ใช้มะม่วงอกร่อง (ข้าวเหนียวมะม่วงแท้ๆต้องทานกับมะม่วงอกร่องครับ เพราะจะให้กลิ่นหอมและรสหวานอมเปรี้ยวที่เข้มข้นกว่า)
ในส่วนของสโคน ในตัวสโคนมะม่วงขิงนั้นมีเนื้อมะม่วงให้ความหอมแทรก และมีกลิ่นขิงอ่อน ช่วยลดความเลี่ยนมันเนยได้ดี กินกับแยมมะม่วง หรือ แยมกุหลาบก็เข้ากันได้ดีครับแน่นอนเนื้อสโคนนุ่ม แน่น หนึบไม่ร่วนและไม่แตกตัว
ในส่วนของเครื่องดื่มที่ห้ามพลาดและขอแนะนำในส่วนของ Mocktail นั้นคือ Summer Rosé ซึ่ง ใช้ base เป็น ชา Eroś ของ Mariage Frères ให้สีแดงสดและกลิ่นกุหลาบที่อบอวล ผสมกับ Homemade Rosé Retal Jam ที่ให้ความหวานรวมถึงกลิ่นกุหลาบแบบอ่อนนุ่ม Rosé Bitters และ น้ำมะนาวสดที่เปรี้ยวอมหวานนิดๆ สดชื่น
และ Mocktail ที่อยากจะแนะนำให้ลองนั้นคือ Lagoon of Paradise ซึ่งใช้กาแฟเป็น base ผสมกับนม ครีม ที่ให้ความหอมมัน และส้มสดที่ให้รสเปรี้ยวหวานสดชื่น และน้ำผึ้งที่ให้ความหวานหอม
ก่อนกลับผู้มาเยือนจะได้รับของที่ระลึกเป็นกล่องใส่ช็อกโกแลต 2 ชิ้น พร้อมที่คั่นหนังสือและหนังสือเล่มเล็ก 1 ชุด สำหรับ 1 โต๊ะ
ถ้าถามผมว่าทำไม Mandarin Oriental ถึงได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนานที่มีชีวิตของโรงแรมในประเทศไทย คำตอบของผมคือ การใส่ใจในทุกรายละเอียด ที่นี่ตั้งแต่เข้ามาเจอพนักงานต้อนรับ การบริการทุกอย่างถือว่าเป็นที่สุด การตกแต่งของโรงแรม การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆเพื่อให้เกิดความสวยงาม เมื่อพูดถึงอาหาร ในเรื่องของรสชาติ การตกแต่ง คุณภาพวัตถุดิบ ทำให้ประสบการณ์ของคนที่มาใช้บริการไม่สามารถลืมไปได้ ทำให้ผมนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาว่า “Details make differences. Details make perfection. Details make legend.”
เรื่อง : Sorawich W.
ภาพ : Satid C.
Authors’ lounge 4- 16 | |||
$$$$$ | |||
ประเภท | คะแนนเต็ม | คะแนนที่ได้ | |
1. อาหาร | 40 | 39 | 9.75/10 |
รสชาติ กลิ่น สัมผัส | 20 | 19.5 | |
วัตถุดิบ | 10 | 9.5 | |
การจัดวางตกแต่ง | 5 | 5 | |
เครื่องดื่ม | 5 | 5 | |
2. บรรยากาศ | 20 | 20 | 10/10 |
บรรยากาศภายนอก | 5 | 5 | |
บรรยกาศภายใน – แสง สี กลิ่น | 10 | 10 | |
บรรยกาศภายใน – วัสดุ โต๊ะ ช้อน | 5 | 5 | |
3. การบริการ | 20 | 20 | 10/10 |
การเข้าถึง ที่จอดรถ ขนส่งมวลชน | 5 | 5 | |
ความสะอาด | 10 | 10 | |
ความสุภาพและการดูแลแนะนำ | 5 | 5 | |
4. ราคาและความคุ้มค่า | 20 | 19 | 9.5/10 |
รวม | 100 | 98 | 5 Stars |