Kinlakestars.com จะพาท่านเดินลงบันไดเวียน ลงไปที่ชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งหนึ่ง ณ ถนนหลังสวน ที่ๆเป็นบูทีคโฮเทลที่หรูเริ่ดชิคๆที่สุดแห่งหนึ่ง คือ Hotel Muse นั่นเอง
ณ ชั้นใต้ดินแห่งนี้เหมือนได้เดินลงไปที่ห้องเก็บไวน์ในอิตาลี ในหมู่บ้านอันห่างไกลแห่งหนึ่ง ที่ๆคุณๆอาจจะคุ้นกับชื่อของห้องอาหาร Medici อย่างน้อยก็มาจากประวัติของเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งทุกท่านเองน่าจะเคยได้พอรู้มากันบ้าง ชื่อจากแรงบันดาลใจจากตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในแวดวงการเมือง การธนาคารหรือแม้กระทั้งศาสนานับเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลเป็นลำดับต้น ๆ ของยุโรปในสมัยนั้น แสดงออกถึงที่มาของสไตล์อาหารแบบทัสกันและการออกแบบตกแต่งอย่างหรูหราในแบบผู้ดี ออกแบบในสไตล์ “นีโออินดัสเทรียล” ที่ผสมผสานวัฒนธรรมไทยให้เข้ากับกลิ่นอายในแบบฉบับทัสกานี สะท้อนผ่านการใช้องค์ประกอบที่เรียบง่ายอย่าง กำแพงอิฐ ถังไม้โอ๊ค ประตูเหล็กพับและโครงเหล็กใหญสีดำ ซึ่งให้ความรู้สึก เคร่งขรึม สร้างความโดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจอย่างเบาะหนังและโต๊ะไม้ให้กลิ่นอายของรสนิยมชั้นสูง การเดินทางมาที่นี่จึงเปรียบเสมือนการย้อนเวลาสู่อดีตเพื่อไขความลับที่ชวนสัมผัสและเก็บเกี่ยวห้วงเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น
สำหรับเชฟนั้น Nicolino Lalla, หรือ “Chef Nic” เป็นเชฟชาวอิตาเลียนมากฝีมือที่สร้างสรรค์อาหารทุกจานให้สวยงามดั่งงานศิลป์บนจานจากวัตถุดิบคุณภาพสูง ซึ่งทุกจานนั้นล้วนมาจากความใส่ใจและบรรจงตั้งใจ ก่อนเข้าสู่มื้อ จะมีขนมปังตามธรรมเนียมอาหารอิตาเลี่ยน ขนมปังที่นี่นั้นแนะนำให้ลิ้มลองจริงๆ โดยเฉพาะตัวที่เป็นสี่เหลี่ยมและมีมะเขือเทศสดอยู่ตรงกลาง เนื้อขนมปังนุ่มหอม ยิ่งกินคู่กับน้ำมันมะกอกและบัลซามิกยิ่งได้รสและสัมผัสที่ดีมาก
มาเริ่มกันที่อาหารกันเลย โดยเริ่มกันจากจานเรียกน้ำย่อย
– Scallop 3 ways (Mash Broad beans, pumpkin and beetroot) with micro salad and balsamic pearl สวยงามดั่งงานศิลป์บนจาน ถือเป็นจานเริ่มต้นที่ดีทีเดียว สแกลอปตัวใหญ่ที่นำไปย่างให้มีความเกรียมตรงผิวนิดๆและกลิ่นออกหน่อยๆ แต่ยังคงความสดหวานและฉ่ำของเนื้อตรงกลางและด้านในไว้ได้ดี ทั้งสามตัวถูกทำให้ออกมาสามรส สามอารมณ์ โดยตรงฐานแต่ละตัวทำจากฟักทองบด ซึ่งให้สีเหลืองทอง รสหวานหอมนุ่มอร่อย ชิ้นต่อมาฐานทำจากบีทรูทบดซึ่งให้รสหวานนิดๆออกฉ่ำสดชื่นและที่ขาดไม่ได้เสน่ห์ของบีทรูทคือกลิ่นดินนิดๆให้ชวนนึงถึงความสดชื่นเหมือนยืนเท้าเปล่าบนดินท่ามกลางท้องทุ่งธรรมชาติ และตัวสุดท้ายฐานทำจากถั่วปากอ้าบด ให้สีเขียวอ่อน รสหวานมันอร่อย ความมันของถั่วทำให้ชิ้นนี้เป็นอีกชิ้นที่น่าประทับใจ จะเห็นว่าทั้งสามชิ้น สามสี สวยงาม อร่อยและมีรสที่ต่างกันไป โดยรสมาจากวัตถุดิบธรรมชาติ และตกแต่งด้วยผักเล็กๆกับบัลซามิก รสเปรี้ยว โดยรวมนับเป็นจานเริ่มต้นที่ดี รสอ่อนๆเบาๆไม่แรงไปแต่ในสามชิ้นของจานมีรสและเอกลักษณ์ที่ต่างกันดีโดยทุกตัวดึงรสจากวัตถุดิบธรรมชาติออกมาได้ดีมาก
– Jerusalem artichoke soup and potato with black truffle from Norcia (420 บาท) มาต่อกันด้วยซุปกันบ้าง ซุปตัวนี้ค่อนข้างโดดเด่นจากการใช้วัตถุดิบที่หาได้ยากพอสมควร เป็นซุปที่ต้มจากแก่นตะวันที่นำเข้าจากอิสลาเอล จากภูมิภาคตะวันออกกลางของเอเชีย ซึ่งเจ้าแก่นตะวันมีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร อีกตัวคือมันฝรั่งซึ่งมีรสมันหวานและทำให้ซุปมีเนื้อและน้ำหนัก และเห็ดทรัฟเฟิลดำจากเมืองนอร์เซียประเทศอิตาลี และน้ำมันทรัฟเฟิล ซึ่งให้กลิ่นหอมทรัฟเฟิลเบาๆ สำหรับจานนี้รสและสัมผัสทำออกมาได้ดีมากทีเดียวแต่กลิ่นของทรัฟเฟิลอาจจะอ่อนไปหน่อย
– Rosemary risotto, prosecco and black truffle with asparagus veloutee and roast snow fish จากซุปเราก็มาต่อกันที่รีซอสโต้กัน รีซอสโต้ข้าวยังคงเป็นเม็ดๆมีสัมผัสความกรุบกรึบของเม็ดข้าวแต่ก็มีความครีมมี้นุ่มละมุนมันอร่อยลงตัวและหอมโรสแมรี่มากอีกทั้งยังมีกลิ่นแชมเปญหอมๆนิดๆจากเปอร์เซโก้ ส่วนกลิ่นทรัฟเฟิลจากทรัฟเฟิลดำก็มีบ้างแต่จะอ่อนๆเบาๆ จานนี้ เป็นการผสมผสานที่ดีของผัก เนื้อปลาและไวน์สเปน กล่าวคือที่เราเห็นเป็นเนื้อปลาชิ้นโตด้านบนนั้นคือปลาหิมะย่าง ปลาหิมะจุดเด่นของมันคือมีความมันในชั้นเนื้อถ้าทำไม่เป็นหรือปรุงไม่ดีอาจมันไปแต่สำหรับชิ้นนี้ได้ความมันและรสหวานเค็มของปลาออกมาดี สำหรับซอสสีเขียวตรงฐานจานนั้นคือหน่อไม้ฝรั่ง สีสวยรสดีออกมันนำและเค็มหวานตามเบาๆ เป็นอีกจานที่ทั้งสวยและรสน่าประทับใจ
– Tasmanian salmon steak and vegetables cook sous vide served with broad bean sauce เข้าสู่จานหลักกันเลยดีกว่า เริ่มต้นกันด้วยสเต็กแซลมอน โดนแซลมอนนี้นำมาจากแทชมาเนีย วิธีการปรุงให้สุกนั้นก็น่าสนใจทีเดียวครับ คือการนำไปซูวีให้สุกหรือพูดง่ายๆก็คือนำเนื้อปลาแซลมอนใส่ในถุงพิเศษและไปแกว่งๆในหม้อที่ต้มน้ำจนเดือด ดังนั้นเนื้อปลาจะสุกแต่จะคงความสดฉ่ำอยู่ เนื้อปลาด้านนอกจะสีคล้ายๆถูกย่างแต่ดูเหมือนกึ่งสุกกึ่งดิบ แค่มองก็รู้ว่ามันฉ่ำไม่แห้ง หอมโรสแมรี่ รสแซลมอนนั้นหวานมันฉ่ำอร่อยมากมีความมันเค็มตามๆมา เพิ่มความมันละมุนด้วยซอสที่ทำจากถั่วปากอ้าบด และกินเคียงกับบรรดาสารพัดผักรสชาติอร่อยดีและลงตัว สำหรับผมจานนี้แนะนำเลย
– Pan-fried 150-daysAngus beef tenderioin topped with pan fried foie gras & black truffle from Norcia จานนี้มาแบบสวยเด่นตั้งแต่ตัวจานแล้ว ทานไปทานมาคุณจะพบตราคุ้นๆอยู่กลางจานด้วย เป็นการจับคู่เนื้อวัวเทนเดอร์ลอยด์กับฟัวกราส์ให้ทานคู่กันได้ดี ด้วยความนิ่มนุ่มมันกลมกล่อมและออกเค็มหน่อยของฟัวกราส์ กับรสชาติของเนื้อวัวเทนเดอร์ลอยด์ที่นุ่มมันนิดๆและเนื้อฉ่ำแน่น ชิ้นใหญ่ราดด้วยซอส Red wine ที่มีกลิ่นของไวน์แดงและรสที่ผสมผสานจนทำให้ลงตัวดีทีเดียว ผสมนำมันเห็ดทรัฟเฟิลที่ให้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ตามด้วยเห็ดทรัฟเฟิลดำฝานบางๆอยู่ด้านบนสุด และรสเปรี้ยวหวานจากมะเขือเทศย่าง จานนี้จึงอร่อยสมกับเป็น Best Seller ของร้านจริงๆ
และของหวาน White tiramisu’ with strawberry and sliced almond เป็นทีรามิสุที่คนรัก White Chocolate ต้อง Love มากแน่เลย เพราะมีแต่ไวท์ช็อกหอมๆเต็มไปหมด ทั้งยังไม่หวานมากไป มีสตรอเบอรีสีแดงสดแทนโกโก้ เพิ่มความหอมเย็นๆด้วยใบมิ้นท์ ในส่วนของตัวเนื้อที่ปกติจะเป็น Lady Fingers ก็ใส่นมแทน และผสมเหล้าสเปนเล็กน้อย จนไร้รสชาติของเหล้า และยังมีอัลมอนด์สไลด์อยู่ด้วย ด้วยประการนี้ทีรามิสุชิ้นนี้ จึงไร้รสชาติของความขมของกาแฟไปโดยสิ้นเชิง ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศแปลกใหม่ได้ดี
ดังนั้นหากคุณมองหาร้านอาหารอิตาเลียน อาหารสวยงาม สร้างสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศ บรรยากาศให้ความสงบและเป็นส่วนตัวพร้อมกับฟังโอเปร่าสดหละก็ ร้านนี้ก็เป็นอีกร้านที่คุณไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
เรื่อง : Kittin A.
ภาพ : Nopmanee P.
KinlakeStars.com
———————————————————————————————————————————————
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A
A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A B A