Story : Nopmanee P. Jipjip / Photo : Pol.Capt. Kittin A Sun

วันนี้ kinandleisure.com จะพาทุกท่านก้าวย่างเข้าไปสู่โลกของข้าวแช่กันอีกครั้งที่โรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่งริมถนนวิทยุ ที่ตั้งของโรงแรมตรงนี้เคยเป็นวังเก่า ด้วยบรรยากาศ แนวคิดการตกแต่งของโรงแรมก็ช่างเป็นใจยิ่งนัก เหมาะสำหรับการตั้งวงรับข้าวแช่คลายร้อนแดดเดือนเมษากับเพื่อนๆ ครอบครัวหรือคนรู้ใจ ใช่แล้วค่ะที่หมายถึงในวันนี้ คือ โรงแรม The Athenee Hotel, A Luxury Collection Hotel Bangkok

เมื่อมาถึงแล้วขอกดลิฟต์ตรงดิ่งไปที่ชั้น 3 เดินตรงเข้าไปด้านในจะพบกับห้องอาหาร The Smooth Curry อยู่ทางด้านขวา ห้องอาหารนี้ตกแต่งด้วยพื้นไม้ลายก้างปลาให้กลิ่นอายความหรูหราแบบฝรั่งยุคล่าอาณานิคม ผนังบางแผงเป็นลายฝาปะกนคล้ายบ้านทรงไทยภาคกลางเวอร์ชั่นร่วมสมัย

ร่วมกับชุดเก้าอี้ไม้ผสมหวายสีดำ มีโต๊ะทานข้าวทั้งแบบกลมและเหลี่ยมให้เลือกนั่งได้ตามใจชอบ ผนังห้องสีเขียว-ขาวตัดกับขอบไม้ บางช่องถูกประดับด้วยเครื่องลายครามแบบพองาม โคมอัจกลับส่องแสงสีนวลตาเพิ่มบรรยากาศความเป็นไทยโบราณได้อีก

ฝ้าเพดานสีขาวบางส่วนก็ถูกขับเน้นด้วยลาย เหมือนดอกมะลิถูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือจะบอกว่าบรรยากาศดีมาก

หลังจากชมบรรยากาศกันไปแล้ว ขอเริ่มกันที่ส่วนอาหารเรียกน้ำย่อยกันต่อเลยดีกว่า

ชุดข้าวเกรียบน้ำพริกเผา เสิร์ฟมาในชุดหาบย่อส่วนดูน่ารักน่าชัง (ที่ปัจจุบันเราจะเจอชุดหาบได้แค่ที่ตลาดย้อนยุคแล้ว) ข้าวเกรียบแผ่นขนาดปกติกรุบกรอบ จิ้มทานกับน้ำพริกเผาไปพลางคุยกับเพื่อนๆไปพลางได้อย่างเพลิดเพลิน

ช่อม่วงปลาช่อนนา (390 บาท)

ทำจากแป้งลายริ้วสีม่วงที่บรรจงม้วนพับอย่างประณีต เสมือนจำลองตัวเป็นดอกอัญชันที่กำลังเบ่งบานเป็นหย่อมๆบนจานสีเทาเข้มใบโต แป้งเนื้อนุ่มหนึบกำลังดี ภายในสอดไส้ปลาช่อนนาอย่างพิถีพิถัน ใช้เนื้อปลาช่อนสดที่ถูกนำมาผัดกับเครื่องเทศไทยตำรับโบราณอย่างละเอียด ละมุนด้วยกลิ่นของรากผักชี กระเทียม พริกไทย และหอมแดงเจียวที่ค่อย ๆ ผัดให้เข้ากันจนเกิดความหอมอ่อน ๆ ก่อนนำไปปรุงรสให้ออกหวานนำเค็มตามอย่างพอดี เนื้อปลาถูกสับให้หยาบเล็กน้อยเพื่อให้ยังคงเนื้อสัมผัสและรสชาติของปลาชัดเจนในแต่ละคำ
เมื่อกัดลงไป กลิ่นหอมของสมุนไพรและรสกลมกล่อมของไส้ปลาช่อนผัดจะค่อย ๆ คลี่ออกมาทีละน้อย ผสานกับแป้งนุ่มด้านนอกได้อย่างลงตัว ช่อม่วงแต่ละชิ้นจัดเรียงมาพร้อมดอกไม้ทานได้หลากสีสัน เพิ่มมิติให้กับทั้งรสชาติและรูปลักษณ์ เป็นคำเล็ก ๆ ที่เคี้ยวไม่นานก็หมดเสียแล้ว
ประทัดลม (420 บาท)

แป้งปอเปี๊ยะม้วนเป็นทรงกระบอกทบกันหลายชั้นทำให้กลายเป็นแป้งหนาขึ้นกว่าทั่วไป นำไปทอดได้กรุบกรอบกำลังดี ภายใต้แป้งนั้นเป็นชิ้นเนื้อกุ้งสีขาวตัวใหญ่ ชวนประทับใจสุดก็ตรงนี้ ด้วยรสชาติและสัมผัสของกุ้งสด ประทัดลมทั้งชิ้นนี้จะถูกหั่นครึ่งเฉียงๆจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบมาในจานสีเทาใบโต เมื่อทั้งแป้งและกุ้งถูกเคี้ยวอยู่ในปากจะเกิดเสียงดุจประทัดนี้อาจเป็นที่มาของชื่อ ทานกับน้ำจิ้มบ๊วยหวานพองามสูตรเฉพาะของร้านที่เป็นถ้วยเล็กๆอยู่ในหาบ

และพระเอกของมื้อนี้ ข้าวแช่ชาววัง ที่เชฟมนตรีและทีมเชฟประจำห้องอาหาร ได้ปรุงข้าวแช่ตำรับชาววังตามกรรมวิธีโบราณ โดยแช่ข้าวหอมมะลิออร์แกนิคจากกลุ่มเกษตรกรจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเมล็ดเรียงสวยและมีกลิ่นหอม แช่ข้ามคืนในน้ำลอยดอกมะลิเพื่อให้ได้กลิ่นหอมที่แทรกซึมในทุกอณู เวลาเสิร์ฟตักใส่มาในถ้วยแก้วเจียระไนจะมีทั้งข้าวสีขาวและสีฟ้าจากดอกอัญชัน ท๊อปด้วยดอกมะลิ ชมนาดและกลีบกุหลาบมอญดูสวยงาม
ตอนรับประทานเราจะได้รับน้ำลอยดอกไม้ในเหยือกใบจิ๋ว ที่ด้านในบรรจุทั้งกลีบกุหลาบมอญ ดอกมะลิและชมนาดส่งกลิ่นหอมเย็นยิ่งนัก มีถ้วยน้ำแข็งเสริมทัพความเย็นอีก 1 ถ้วย ในชุดข้าวแช่แต่ละชุดมาพร้อมเครื่องเคียงจัดเรียงมาในถ้วยแก้วเจียระไน เป็นสูตรดั้งเดิม 8 อย่าง อาทิ

ลูกกะปิปลา ที่โดดเด่นด้วยวัตถุดิบสำคัญอย่างกะปิอย่างดีจากระยอง มีการนำไปเผาไฟเพื่อดับกลิ่นคาว ผัดให้หอม เนื้อปลาก็นำมาโขลกรวมกันกับกระชาย ชิ้นนี้มีรสหวานหอมละมุนกลมกล่อม สัมผัสเนื้อละเอียด ปั้นเป็นลูกคำกำลังดี ชุบแป้งบางๆแค่ให้เป็นรูปคงตัวอยู่เท่านั้น โดยยังคงเน้นไส้แน่น ๆ ภายใน ให้เวลารับประทานได้สัมผัสกับเนื้อปลาที่ละเอียดนุ่ม รสชาติออกหวานนำ กลมกล่อมด้วยเค็มอ่อน ๆ จากกะปิ และความเผ็ดร้อนนิด ๆ จากกระชาย

หอมแดงสอดไส้ปลา ใช้หอมแดงหัวโตคัดพิเศษ ผ่าครึ่งแล้วนำไปคว้านไส้ออกบางส่วน ก่อนนำมาสอดไส้ด้วย เนื้อปลาช่อนปรุงรส ที่โขลกจนเนียนละเอียด กลิ่นปลาไม่แรง แต่เน้นรสปลาเต็ม ๆ ปรุงด้วยเครื่องสมุนไพรและเครื่องปรุงไทยที่ช่วยชูรสให้เด่นขึ้น โดยเนื้อปลาจะให้สัมผัสนุ่มแน่น เคี้ยวแล้วไม่ยุ่ย หลังจากสอดไส้จนเต็มดีแล้ว ก็นำหอมแดงที่สอดไส้นั้นไป ชุบแป้งทอดบาง ๆ แล้วลงทอดจนกรอบนอก สีเหลืองทองสวย เปลือกหอมแดงเมื่อผ่านการทอดจะหวานละมุน มีความกรอบนอกนุ่มใน ผสานกับรสปลาด้านในที่ออกหวาน

พริกหยวกสอดไส้ไก่และกุ้ง เนื้อกุ้งและไก่ได้ถูกผสมกันเป็นไส้อยู่ด้านใน มีรสชาติกลมกล่อมอย่างลงตัว เปลือกนอกเป็นพริกหยวกที่ยังคงรสเผ็ด เผ็ดนิดหน่อยลอยฟุ้งขึ้นมาตอนท้ายๆของคำ หุ้มอีกชั้นด้วยแป้งไข่เส้นบางๆกรอบ ที่น่าจะทำเหมือนฝอยทอง คือ นำไข่ใส่กรวยเจาะรูที่ปลายแล้วค่อยๆราดเป็นเส้นๆ เป็นแพๆขึ้นมาในกระทะ แล้วค่อยนำชิ้นพริกหยวกมาวางม้วนกันอีกที ที่นี่หั่นแบ่งเป็นชิ้นทำให้ทานง่ายขึ้นด้วย

เนื้อฝอยหรือหมูฝอย หมูเนื้อแดงนำมาปรุงรสหวาน แล้วจึงฉีกเป็นเส้นเล็ก ๆ อย่างประณีต ก่อนนำไปทอดให้กรอบบาง จนได้เป็นหมูฝอยเนื้อละเอียด เวลาเคี้ยวจะได้รสกระเทียมขึ้นมาจางๆด้วย

ไชโป๊วผัดไข่ ไชโป๊วหั่นเป็นเส้น แล้วนำไปผัดในกระทะกับน้ำตาลปี๊ป ผัดจนหอมใส่ดอกเกลือ ทำให้ได้เส้นกรอบ หวาน คงรสของหัวไชโป๊วอยู่ ท๊อปด้วยไข่วงเดือนหมู ทำมาจากไข่แดงของไข่เค็มผสมกับน้ำพริกแกง ปกตินิยมทานคู่กับน้ำพริก ไข่เค็มตัดเป็นดอกไม้สีขาว เกสรสีส้มดูน่ารักดีอีกด้วย ยังคงความเค็มให้ตัดรสกันเล็กน้อย
ปลาช่อนแห้งผัดหวาน

หมูเปีย ตามตำรับแล้วเป็น เนื้อหมูสับ กับปลาเค็มปิ้งแล้วนำมาผสมกัน ปั้นเป็นก้อนกลมพอดีคำ ชุบไข่แล้วนำไปทอดจนสุกสีเหลืองทอง

แตงโมปลาแห้ง เมนูของทานเล่นโบราณอีกเมนู ที่เคยได้รับความนิยมในราชสำนักมาแต่โบราณ และยังคงเป็นเมนูโปรดในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ด้วยความสดชื่นจากผลไม้และความกลมกล่อมจากปลาแห้ง ชิ้นแตงโมเนื้อแดงฉ่ำหวานๆถูกหั่นมาเป็นลูกเต๋า ราดด้วยน้ำตาลคลุ๊กเกลือปลาแห้ง เสียบมาเป็นไม้ด้วยไม้ไผ่เล็กๆ เมื่อกัดลงไปในคำแรก จะได้รสสัมผัสของแตงโมที่เย็นฉ่ำสดชื่น ก่อนที่ความเค็มหวานของปลาแห้งจะค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามา

ปิดท้ายด้วยของหวาน มะยงชิดลอยแก้ว

ยกมาเสิร์ฟตามหลัง ในถ้วยแก้วเจียระไนเช่นกัน ผลมะยงชิดเนื้อแน่นสีส้มทองสดใสถูกริ้วมาคล้ายดอกจำปีจำปาลอยน้ำมา ลอยในน้ำเชื่อมหอมเย็นที่ปรุงรสอย่างพอดี — หวานละมุนแต่ไม่จัดจ้านจนเกินไป แฝงรสเปรี้ยวอ่อน ๆ จากเนื้อมะยงชิดเองที่ช่วยตัดเลี่ยนและเติมความสดชื่นในทุกคำที่ลิ้มลอง เป็นของหวานที่ไม่ได้ซับซ้อน แต่กลับเรียบง่ายอย่างมีเสน่ห์ เหมาะจะปิดท้ายข้าวแช่ชาววังชุดนี้จริงๆ

โดยรวมแล้วประทับใจกับข้าวแช่ชุดนี้มีความทานง่ายกลมกล่อมกำลังดี เสิร์ฟมาในรูปพานเครื่องแก้วเจียระไนถ่ายรูปสวย หากสนใจรีบจองแล้วไปทานกันภายในวันที่ 30 เมษานี้นะคะ
ข้าวแช่ตำรับชาววัง ให้บริการที่ห้องอาหาร เดอะ เฮาส์ ออฟ สมูท เคอร์รี่
มื้อกลางวัน ตั้งแต่เวลา 11.30 – 14.30 น.
และมื้อเย็น ตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.00 น.

ในราคา 950++ บาทต่อเซ็ต สำหรับรับประทานที่ห้องอาหาร
และราคา 1,350+ บาทต่อเซ็ต สำหรับซื้อกลับบ้าน
สมาชิกแมริออท บอนวอย รับส่วนลด 10 เปอร์เซ็นต์ และสมาชิกคลับ แมริออท รับส่วนลด 20 เปอร์เซ็นต์
ห้องอาหาร เดอะ เฮาส์ ออฟ สมูท เคอร์รี่ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล สำรองที่นั่งหรือสั่งจองเซ็ตข้าวแช่ตำรับชาววัง ได้ที่: https://athenee.co/THOSCKhaoChae