ในกรุงเทพมหานครฯมีร้านอาหารให้คุณเลือกมากมาย ทั้ง ไทย จีน ฝรั่ง อิตาลี ญี่ปุ่น เยอะแยะเต็มไปหมด แต่วันนี้ที่ผมจะพาคุณไปสัมพัส เรียกได้ว่าเป็นอาหารฟิวชั่นที่แท้จริงเลยก็ว่าได้ เป็นการผสมผสานเทคนิคการปรุงหลายๆชาติ รวมถึงการใช้วัตถุดิบพรีเมียมจากโครงการหลวง แต่รสชาติออกมาแบบไทยๆ โดยอาหารทั้งหมดถูกคิดอย่างสร้างสรรค์โดยเชฟฝีมือดี อย่างเชฟฉลอง จากโรงแรมดุสิตธานี D2 เชียงใหม่ เนื่องจากเชฟฉลองเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้และใกล้ชิดกับวัตถุดิบโครงการหลวง
ซึ่งเมนูต่างๆเป็นการนำเอาบทเพลงพระราชนิพนธ์ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาตั้งเป็นชื่อของอาหารในแต่ละจาน และได้คัดสรรวัตถุดิบจากโครงการหลวง เพื่อนำมาใช้ปรุงแต่งอาหารในแต่ละจานให้เราได้ลิ้มลอง หน้าตาแต่ละเมนูจะเป็นอย่างไร ตามผมมาเลยครับ
ซึ่งวันนี้ผมจะนำทุกท่านไปชั้นที่ 22 ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ณ ห้องอาหาร 22 Kitchen and Bar
เริ่มด้วยบรรยากาศในห้องอาหารก่อนเลยนะครับ พอเราได้ก้าวขาเข้ามา เราจะสัมผัสได้ถึงความเงียบ จะเรียกว่าโรแมนติกก็ว่าได้ คุณสามารถมองเห็นวิวของย่านสีลม และสวนลุมพินี ได้อย่างชัดเจน (ขอบอกว่าสวยมาก แต่ข้างล่างรถติดไปนิด)
การจัดโต๊ะของร้านอยู่ใน Mood and tone สบายตา สีฟ้า และ ขาว ตัดกับแสงจากหลอดไฟที่เป็นสีส้มเหมาะแก่การถ่ายเซลฟี่มากๆ
ในวันนี้เมนูที่ผมจะพาทุกท่านไปชิมและชมได้แก่ เมนูอะ ลา คาร์ท ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเมนู Limited edition ซึ่งจะเป็นเซ็ตเมนูอาหารค่ำ 4 คอร์ส จะมีเฉพาะช่วงเดือนตุลาคมในปีนี้เท่านั้น ซึ่งเมนูนี้จะสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2560 โดยเมนูอะ ลา คาร์ทได้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
โดยเมนูแรกนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 29 ทำให้เมนู นี้มีชื่อว่า
“ไร้จันทร์” (No Moon)
Steamed red claw crayfish in squid ink wonton, butternut squash sauce and black caviar
คือเกี๊ยวกุ้งก้ามแดงเสิร์ฟกับ ซอสน้ำเต้าและไข่ปลาคาเวียร์ โดยไข่ปลาคาเวียร์เป็นคาเวียร์ของปลาสเตอเจียน และฟักบัตเตอร์นัท เป็นวัตถุดิบที่มาจากโครงการหลวง
ซึ่งจานนี้ถือว่าดีงามมาก รสชาติของอาหาร เข้ากันได้ดี ระหว่างซอสน้ำเต้าสีเหลืองเปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่มีความหอมอ่อนๆและตัวเกี๊ยวสีดำที่แสดงให้เห็นถึงค่ำคืนที่มืดมิด เมื่อกัดเข้าไปมันจะให้สัมผัสของรสชาติปูด้านใน และ ที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ไข่ปลาคาเวียร์ที่ไม่เค็มเกินไป จานนี้ถือว่าละมุนลิ้นมาก
มาต่อกันที่คอรส์ที่ 2 ได้แก่ “เกาะในฝัน” (Dream Island)
Ocean seafood with butterfly pea creamy soup in coconut shell and seaweed sponge (Butterfly pea)
ซึ่งมาจากบทเพลงเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 40 โดยเมนูนี่ถือว่า DIY และ creative สุดๆ โดนการนำมะพร้าวแก่ลูกใหญ่ เสิร์ฟพร้อมซุปซีฟู้ด
ความหอมของซุปถ้านึกรสชาติไม่ออก ให้นึกถึงต้มข่า แต่ที่โดดเด่นก็คือสีของซุปที่ใช้ดอกอัญชัน ซึ่งเป็นวัตถุดิบจากโครงการหลวง ทำให้น้ำของซุปเป็นสีฟ้า แต่มันก็ยังคงธรรมดาเกินไปเพราะ เค้าจะเสิร์ฟพร้อมกับ มะนาว เมื่อบีบมะนาวลงไปในซุป มันจะทำให้ซุปสีฟ้ากลายเป็นซุปสีม่วง สะท้อนให้เห็นถึงท้องทะเล ในยามค่ำคืนได้เป็นอย่างดี
โดยการตกแต่งของจานนี้ถือว่าแน่นมาก เริ่มที่ขอบจานก่อนเลย ขอบจานจะประดับไปด้วยดอกอัญชัน และดอกไม้อื่นๆเพื่อให้เกิดเป็นสีสันที่น่าหลงใหล
มาต่อกันในส่วนของด้านจาน ที่จะมีเกลือทะเลเม็ดใหญ่สีฟ้า ที่สามารถตีความได้ว่ามันคือทะเล และต่อมาก็คือภาชนะ ที่ใส่ซุปซีฟู้ด เพื่อให้ได้กลิ่นไอของความเป็นเกาะ ทางโรงแรมได้ใช้มะพร้าวเป็นตัวชู Concept ของจานนี้
โดยส่วนตัวแล้ว ชอบจานนี้มาก โดยเฉพาะการตกแต่งและรสชาติอาหารไทยที่สามารถนำมาประยุกต์ได้อย่างดีเลยทีเดียว
คอร์สที่สามของเราในวันนี้ได้แก่ “เตือนใจ” (Old Fashioned melodies)
Sous vide Pon Yang Khum beef tenderloin red bell pepper curry sauce, grilled vegetables sweet mashed
ซึ่งมาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 38
เมนูนี้มีให้เลือกว่า คุณจะโปรดเนื้อสันในโพนยางคำซูวี ซึ่งเป็นเทคนิคการทำอาหารด้วยอุณหภูมิตำ่ ช่วยรักษาความสดและชุ่มฉ่ำของเนื้อได้ดี เสิร์ฟพร้อมกับซอสพริกหวานแดง ที่เด็ดมาก กับผักย่าง ได้แก่ แครอท, ซูกินี, มะเขือม่วง และมันบดหวาน
หรือจะเป็น ปลากะพงแดงซูวีเสิร์ฟกับซอสพริกหวานแดง พร้อมผักย่างและมันหวานบด
โดยกิมมิคของจานนี้ ก็อยู่ที่ตัวโน๊ตเพลง ที่นำมาตกแต่ง สื่อถึงความเป็นบทเพลงของพ่อได้อย่างลงตัว
ในส่วนของรสชาติ เนื้อ, ปลา และวัตถุดิบอื่นจะเน้นที่เป็นผลิตผลของไทย ฉะนั้นคำแรกที่กลืนก็รู้เลยว่านี่แหละอาหารไทย หอมซอสพริกหวานแดงมากๆ มันเหมือนกับคุณกำลังทานพะแนงอยู่ แต่เป็นพะแนงที่อร่อยและหาทานที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่ดุสิตธานีเท่านั้น
ส่วนเมนูสุดท้ายของวันนี้ได้แก่ “แว่ว” (Echo)
ซึ่งเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 41
เมนูนี้ก็คือพานาคอตต้ามะม่วงมหาชนกกับมูสกล้วยหอมบนช็อคโกแลตเค้กและซอสเบอรี่ รับรองว่าถูกปากคอของหวานแน่นอน
เริ่มจากรสชาติก่อนเลย วิธีการรับประทานก็คือให้ตักจากบนลงไปล่าง เริ่มที่มะม่วง ไปกล้วย และ ไปเค้กช็อคโกแลต จากนั้นให้คุณลิ้มรสของขนมหวานจานนี้ มันดีงามแบบบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่ากลิ่นของกล้วยจะแรงกว่ากลิ่นมะม่วง แต่มันก็ยังคงมีกลิ่นหอมของมะม่วงในระหว่างที่คุณกำลังรับประทานอยู่ดี
ในส่วนของเนื้อเค้กก็มีความนุ่มและละเอียด
การตกแต่งของจานนี้ไม่ต้องตีความอะไรมากมาย เพราะว่ารูปแบบการนำเสนอเมนูนี้ชัดเจนมาก คือเสียงแอคโค้ ที่วาดลวดลายจากซอสช็อคโกแลต และตีกรอบด้านข้างด้วยซอสเบอร์รี่
โดยวัตถุดิบจากโครงการหลวงในจานนี้ก็ได้แก่ ผลมะเดื่อ และดอกแพนซี ซึ่งก็ได้ถูกนำมาประดับบนจาน ให้ดูสวยงาม ซึ่งแน่นอนว่าเราจะต้องเก็บภาพไว้ดูเป็นการส่วนตัวซะหน่อย
ท้ายที่สุดของวันนี้ ผมอยากจะบอกว่า ทางโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ก็จะนำรายได้ 9เปอร์เซ็น จากเมนูอะ ลา คาร์ท เซ็ตพิเศษนี้ ร่วมบริจาคให้มูลนิธิโครงการหลวงอีกด้วย
เรื่อง / ภาพ : Tanavut T.
เพลงพระราชนิพนธ์, 22 kitchen bar, dusit thani bangkok, fine dining, review, รีวิว
KinlakeStars.com กินแหลกแจกดาว สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง kinlakestars.com – กินแหลกแจกดาว
รูปและเนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของทาง KinlakeStars.com ไม่อนุญาตให้นำไปใช้จนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากทางผู้บริหาร หากฝ่าฝืนผู้บริหารพร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด