ร้าน เลอ นอร์มังดี (Le Normandie) หลังจากที่ปิดปรับปรุงร้านใหม่เป็นเวลาหลายเดือน จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศภายในร้านใหม่ จากเดิมจะเป็นโทนสีทอง ปัจจุบันจะเน้นเป็นโทนสีขาวสว่าง แม้ฝ้าผ้าไหมสีทองอัดจีบจะหายไป แต่ยังคงความหรูหรา คลาสสิค ทำให้บรรยากาศภายในร้านดูปลอดโปร่ง สะอาดตาและอบอุ่นยิ่งขึ้น บางส่วนยังอนุรักษ์โทนสีเดิมอยู่บ้างเช่นเก้าอี้และเบาะ ขนาดของร้านไม่ใหญ่มาก ซึ่งเป็นสัดส่วนและขนาดของร้าน Fine Dining ที่จะไม่จุแขกจำนวนมากเกินไป เพื่อความเป็นส่วนตัวและการบริการที่ทั่วถึง
ในร้านจะมีโซนที่ติดกระจกซึ่งสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาได้ แต่ถ้านั่งทานตอนกลางวันทางด้านติดแม่น้ำเจ้าพระยาอาจจะแสบตา เพราะแดดจะสะท้อนจากแม่น้ำเข้าตาเล็กน้อย แขกบางท่านอาจเลือกใส่แว่นกันแดด
แต่ละโต๊ะจะมีแจกันดอกไม้สดวางอยู่ซึ่งดอกไม้แต่ละโต๊ะนั้นแตกต่างกัน เพื่อเพิ่มสีสัน ความหลายหลาย ไม่จำเจ บริเวณกลางร้านจะมีรถเข็นขนมหวาน Trolley วางอยู่ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ไปยังโต๊ะต่างๆให้ลูกค้าเลือกขนมหวานทานได้ตามต้องการ
สำหรับอาหารฝรั่งเศส Fine Dining สิ่งสำคัญที่สุดคือวัตถุดิบ ทั้งคุณภาพ ความสด และแหล่งที่มา ที่นี้ใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งที่มาดั้งเดิมทั้งหมด ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจากฝรั่งเศส สเปน นอร์เวย์ อิตาลี หรือแม้แต่ผักทั่วไปก็ใช้ผักจากโครงการหลวง
อีกอย่างที่เสิร์ฟมาคู่กันจะเป็นแป้งกรอบด้านในสอดไส้ Goat Cheese ซึ่งมีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้านบนท๊อปด้วยไข่ปลาแซลมอน ทานคู่กันแล้วเข้ากันมาก เสิร์ฟเหมือนอยู่บนดินในกระถางต้นไม้ ซึ่งเป็นการนำเสนอที่สร้างสรรค์ แปลกตา ทั้งหมดสามารถทานอะไรก่อนหรือหลังก็ได้ครับ
จานที่สองของ Amuse-Bouche จะเสิร์ฟมาบนช้อน 3 คันซึ่งวิธีทานต้องเริ่มทานจากช้อนขวามือไปทางซ้ายมือ ช้อนขวา [Chou fleur/Saumon : Cauliflower/Salmon] สุดเป็นเหมือนโยเกิร์ตเหลวท๊อปด้วยแซลมอนรมควัน ให้ทานคำเดียวหมด มิฉะนั้นของเหลวด้านในอาจจะแตกเลอะได้ ต่อมา ช้อนกลาง [Asperge/Thon/Alinoir : Asparagus/Tuna/Black Garlic] จะเป็นปลาทูน่าจี่ให้สุกเฉพาะขอบนอก ด้านในยังสีแดงสดเพื่อรักษาความหวานของปลาทานคู่กับครีมที่ทำจากหน่อไม้ฝรั่งและแผ่นแป้งกระเทียมดำ และสุดท้ายของจานนี้ ช้อนซ้ายมือ [Margarita] เป็นข้าวพองกับฟองนุ่มๆ ละมุนลิ้น ที่ทำจากมะนาวและ Tequila หอมๆ เปรี้ยวๆเหมือน Sherbet ไว้ล้างปากก่อนเริ่มทานอาหารจานหลัก
ก่อนอาหารในเมนูจานแรกจะเริ่ม พนักงานจะนำขนมปังอบร้อนๆมาให้เลือก มีหลากหลายชนิดทั้ง Baguette, whole wheat ฯลฯ เลือกทานได้ตามใจชอบ เสิร์ฟพร้อมเนยสองแบบ ทั้งธรรมดาและแบบที่มีสาหร่าย ส่วนตัวจะชอบแบบที่มีสาหร่าย มีรสเค็มนิดๆ หอมกลิ่นสาหร่าย มัน กินคู่กับขนมปังลงตัวมาก
จานแรกเริ่มด้วย Crevettes Carabineros / crabe (Carabineros prawns / crab) สลัดควินัวซึ่งเป็นเมล็ดธัญพืชที่มีสารอาหารสูง ทั้งไฟเบอร์และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด เหมาะกับคนรักสุขภาพ ด้านบนเป็นผักขึ้นฉ่ายฝรั่ง สด กรอบ ตามด้วยเนื้อกุ้งสไลด์บางๆ ตรงกลางเป็นซอสที่ทำจากเนื้อปูกลิ่นโดดเด่น ชัดเจน มีซอสเลมอนด้านข้างทานคู่กันแล้วเข้ากันดี จานนี้ Pairing กับไวน์ที่ Sommelier ของร้านจัดให้ทานคู่กันคือ
จานที่สองเป็น Asperges vertes de Pertuis / agrumes / sauce Hollandaise (Pertuis green asparagus / citrus / Hollandaise sauce) หน่อไม้ผรั่งต้นยักษ์นำเข้าจาก Provence ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เป็นผักตามฤดูกาล ก้านยาวและใหญ่ กัดแล้วกรอบ หวาน ทานคู่กับซอส Hollandaise สีครีมเนื้อเนียน เปรี้ยว เค็มนิดๆ หอม มัน แต่ไม่เลี่ยน ทานกับส้มซิตรัส ฝานบางๆ กับ ซอสส้มอมเปรี้ยว โรยด้วยไข่แดงป่น
Pairing กับไวน์แดง WYNNS ปี 2013 จาก South Australia องุ่นแดงพันธุ์ Cabernet Sauvignon น้ำหนักไวน์ตัวนี้เป็น Full body, unoaked และกลิ่นออก Fruity
อีกเมนูนึงที่ห้ามพลาดของทางร้านเลย คือ Wagyu Beef Cheek (1,850++ บาท) เป็น Signature dish ของร้าน Le Normandie ใช้แก้มวัวไปตุ๋นอย่างช้าๆ 24 ชั่วโมงจนคล้ายกับสตู หั่นเต๋าเป็นชิ้นเล็กๆ เนื้อนุ่ม เคี้ยวง่าย แทบละลายในปาก ราดด้วยมันฝรั่งที่นำไปเคี่ยวจนเนียน ละเอียด ท๊อปด้วยเห็ดทรัฟเฟิลดำ พร้อมกลิ่นหอมของน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล จานนี้ดูเรียบง่ายแต่รสชาติดี สมบูรณ์แบบ และลงตัวอย่างที่สุด ก่อนที่เป็นของหวานพนักงานจะมาเคลียร์โต๊ะ เก็บจาน เศษอาหารให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมสำหรับคอร์สของหวานต่อไป พร้อมทั้งเปลี่ยนผ้ากันเปื้อนผืนใหม่จากสีเทาเป็นสีขาว
คอร์สสุดท้ายเป็นของหวาน Chocolat Araguani / menthe (Araguani chocolate / mint) มีช็อกโกแลตหลากหลายทั้งช็อกโกแลตสด รสเข้มข้น หวานน้อยและช็อกโกแลตฝาน รังสรรค์ออกมาได้สวยงาม ถ่ายรูปออกมาสวยทุกมุม มีโยเกิร์ตเหลวที่เป็นก้อนกลมสีขาวทานกับช็อกโกแลตพร้อมมิ้นท์สีเขียวที่ทำเหมือนฟองน้ำแล้วกลิ่นมิ้นท์ หอม เย็น สดชื่น เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมและเจลลี่
ขนมหวานจะสามารถเลือกเค้กได้สองชิ้นบนรถเข็นขนมหวาน Trolley พนักงานจะนำช็อกโกแลตที่ละลายจนเหลวแล้วใช้ไม้จิ้มมาเพ้นท์เป็นรูปต่างๆอย่างพิถีพิถัน สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นรูปดอกกุหลาบ ทิวลิป ลิลลี่ คาร์เนชั่น ฯลฯ ตกแต่งบนจานเสิร์ฟพร้อมเค้กที่เลือก 2 ชิ้น โดยในครั้งนี้ขอนำเสนอเป็น Mont Blanc Cake ผิวด้านบนเหมือนขนมปังกรอบ ด้านล่างเป็นไส้ช็อกโกแลต รสไม่หวานมาก และ Coffee Chocolate Cake ด้านบนเป็นช็อกโกแลตเข้มข้น สลับชั้นกับครีมรสกาแฟ หอม เข้ม ไม่หวาน สลับกันเป็น layer 3 ชั้น เนื้อเค้กเนียน นุ่ม
หลังจากนั้นมีการโชว์ทำ Crêpe Suzette เป็นขนมหวานดั้งเดิมของฝรั่งเศส ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุครั้นเจ้าชายแห่งอังกฤษเสด็จไปยังฝรั่งเศส [ประวัติ Crêpe Suzette อ่านต่อ] ใช้กระทะอย่างเดียวก็ทำได้ ทำโชว์สดๆข้างโต๊ะอาหาร
สำหรับ Crêpe Suzette ที่นี่นั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่ควรพลาด นอกจากกระบวนการทำที่สวยงามเหมือนดูการแสดงแล้ว รสชาติก็ยังจัดว่าดีเยี่ยมเลยทีเดียว แป้งของเครป บาง นุ่ม มีความหวานมันในตัว ทานคู่กับไอศกรีมวนิลาหวานหอมเย็น ส้มรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆและซอสส้มรสเปรี้ยวหวาน แล้วเข้ากันดี รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ตัดเลี่ยนได้ดี และยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆแซม เหมือนดั่งหญิงสาวพรมน้ำหอมอ่อนๆ ชวนให้น่าค้นหา
ในเซตจะมีชาหรือกาแฟเสิร์ฟ พร้อมกับกล่องใส่ขนมที่ด้านในมีช็อกโกแลตและขนมต่างๆเป็นคำเล็กๆ ให้ทานคู่กันเป็นการปิดท้ายครับ
สำหรับราคานั้นช่วงนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆครับ Set Lunch จะมีให้เลือก 2 ราคา
1) ราคา 1,450 บาท Net ประกอบด้วย
– Appetizer ,Fish or Meat and Dessert
2) ราคา 1,850 บาท Net ประกอบด้วย
– Appetizer 2 อย่าง. Fish or Meat and Dessert
ถ้ามี Wine Pairing ด้วย
– 2 Glass = 650++ บาท / 3 Glass = 950++ บาท
ร้าน เลอ นอร์มังดี (Le Normandie) โรงแรมโอเรียนเต็ลตั้งอยู่บนชั้น 5 มื้อกลางวันเปิด 12.00 – 14.30 ช่วงเย็น 19.00 – 22.00 ปิดวันอาทิตย์ โทร 02-6599000
เรื่อง : Kittin A. / Chetrat M.
ภาพ : Kittin A. / Chetrat M. / Nopmanee P.