นอร์ดิก อาหารประยุกต์สุดสร้างสรรค์ที่นำแนวอาหาร Fine Dining มาประยุกต์ให้เข้ากับอาหารของเขตหนาวเย็นแถบยุโรปตอนเหนือ ออกมาเป็นอาหารชั้นเลิศที่คุณควรลิ้มรสให้ได้สักครั้ง
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผมและ KinlakeStars.com จะพาทุกท่านไปรับประทานอาหาร Nordic Cuisine จากห้องอาหารสุดหรูใจกลางเมืองอย่าง Front Room โรงแรม WALDORF ASTORIA BANGKOK กันครับ
คำว่า Nordic แผลงมาจากคำว่า Norden ในภาษาสแกนดิเนเวียที่ก็แปลว่า “ผู้อยู่อาศัยทางเหนือ” ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของรูปแบบอาหารที่เน้นเรื่อง “ความบริสุทธิ์ ความง่าย และความสดใหม่” (purity, simplicity and freshness) อย่างอาหารทางแถบเหนือของยุโรป โดยเน้นการทำอาหารจากวัตถุดิบของท้องถิ่นตามฤดูกาลนั่นเอง ซึ่งเชฟก็ได้นำแนวคิดนี้มาผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นของไทย บวกกับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ในการทำอาหารของเชฟ ออกมาเป็นเมนูให้เราได้ชิมกันในวันนี้
ห้องอาหาร Front Room ถูกดีไซน์ให้เป็นแบบโคโลเนียลโดยให้มีกลิ่นอายของความเป็นสแกนดิเนเวียนและความเป็นไทยเข้าด้วยกัน เน้นใช้สีขาว ครีม และน้ำตาลอ่อน ซึ่งเป็นสีโทนอุ่น ราวกับจะบอกว่าดินเนอร์มื้อนี้คุณและคนพิเศษจะอบอุ่นเพียงใด เพดานสูงรายล้อมด้วยกระจกตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ส่งผลให้ห้องอาหารแห่งนี้โอ่โถงชมบรรยากาศยามค่ำคืนได้อย่างสบายตา มาพร้อมโซนครัวเปิดที่เผยให้เห็นการทำอาหารของ เชฟเฟ-รุ่งทิวา ชุ่มมงคล Head Chef ของห้องอาหารนี้ได้อย่างเต็มที่เลยครับ
คอร์สเมนูหลักที่นี่มีให้เลือก 2 แบบครับ คือ คอร์ส 10 อย่าง (3,200 บาท++) และ คอร์ส 7 อย่าง (2,500 บาท++) โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะรับเครื่องดื่มเป็น Wine Paring (2,100 บาท++) หรือ Juice Paring (600 บาท++) ซึ่งวันนี้เราเลือกแบบ 10 คอร์สและ Paring กับน้ำผลไม้ครับ เพราะค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับ Fine Dining ที่ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ เราจึงอยากสัมผัสประสบการณ์อีกแบบเพื่อจะได้แบ่งปันประสบการณ์ให้กับทุกท่านครับ
เริ่มกันด้วย Welcome Drink ซึ่งเสิร์ฟมาแบบ On the Rock ในแก้วทรงสูงโดยเชฟจะนำฟักเขียวไปย่างจนส่งกลิ่นไหม้หอมๆ Infuse กับน้ำตาลมะพร้าวและใบเตยจนออกมาเป็นสีเหลืองทอง เมื่อจิบจะได้กลิ่นควันของฟักเขียวย่างและกลิ่นใบเตยอ่อนๆ ช่วยเพิ่มความสดชื่นก่อนเริ่มมื้ออาหารได้เป็นอย่างดีครับ
หลังจากเพิ่มความสดชื่นด้วย Welcome Drink กันไปแล้วก็มาเริ่มเรียกน้ำย่อยกันด้วย Amuse Bouche เมนูแรกนั่นคือ Croustades – Pomelo – Shrimp เมนูเรียกน้ำย่อยที่เสิร์ฟมาในรูปแบบกระทงทองด้านในเป็นยำโดยมีส่วนผสมของส้มโอเปรี้ยวหวาน กุ้งที่ให้เนื้อสัมผัสกรุบเวลาเคี้ยว และซอสมะขามเพิ่มความกลมกล่อม ท็อปด้านบนด้วยมะพร้าวคั่วรับประทานในคำเดียวได้ความรู้สึกสดชื่นมากๆ และเมนูที่สองเสิร์ฟมาในถาดเดียวกันคือ Fish Cracker – Sweet Sour Gel ปลาเส้นกรอบที่รับประทานแล้วได้ความรู้สึกเหมือนทอดมันปลา หยดซอสเจลลี่สับประรดคล้ายน้ำจิ้มทอดมัน รสชาติเค็มหวานเคี้ยวเพลินจริงๆ ครับ
Amuse Bouche เมนูที่สาม เสิร์ฟมาอย่างสวยงามบนบอนไซกับเมนู Pumpkin Leaf Chips เนื้อฟักทองที่ถูกนำมาบดเชื่อมกับน้ำตาลแล้วขึ้นรูปเป็นใบไม้แผ่นบางใสละลายในปากรสชาติหวาน ให้ความรู้สึกเหมือนรับประทานฟักทองเชื่อม
Amuse Bouche เมนูที่สี่ Salmon – Beetroot หนึ่งในเมนูที่ใช้บีทรูทเป็นวัตถุดิบหลักโดยเชฟนำแซลมอนและบีทรูทมาทำเป็นไส้ซึ่งอยู่ด้านในมาการองที่เนื้อสัมผัสคล้ายเมอร์แรงที่ได้สีชมพูมาจากน้ำบีทรูท รับประทานในคำเดียวได้รสชาติหวานเค็มถือว่าแปลกใหม่และถูกปากครับ ปิดท้ายด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยเมนูสุดท้าย Sweet Potato – Peanut พัฟแผ่นบางขนาดจิ๋วที่ทำจากมันฝรั่งรสชาติหวานสอดไส้ด้วยแอปเปิลเขียวชิ้นเล็กๆ รสชาติเปรี้ยวหวานผสมกับถั่วพีนัทเพิ่มความหอมรับประทานแล้วคล้ายกับสะเต๊ะที่มีน้ำอาจาด
ระหว่างที่รอเมนูแรกหลังเรียกน้ำย่อยก็มารับประทานขนมปังโฮมเมดอุ่นๆ ซึ่งเชฟได้น้ำข้าวเหนียวดำมาเป็นส่วนผสมขนมปังที่ได้จึงมีเนื้อสัมผัสหนึบและกลิ่นหอมจากข้าวเหนียว ให้ความรู้สึกแปลกใหม่เวลาเคี้ยวมากครับ เสิร์ฟมาพร้อมกับ Soya Butter เนยรสซีอิ๊วที่ให้รสชาติเค็มและหอมถั่วเหลือง เค็มตัดมันเข้ากันดีครับ
ก่อนที่จะไปถึงเมนูคอร์สที่สองเราก็มาลองชิม Juice Paring แก้วแรกกันก่อนครับ ยอมรับว่าตื่นเต้นกับเครื่องดื่มที่เชฟนำมาเซอร์ไพรซ์มาก โดยแก้วแรกเป็นน้ำแอปเปิล ผสมฝรั่ง Infuse กับโรสแมรี่และใบมะกรูด
เมนูต่อจากอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรก Asia Pacific เมนูปลากระพงขาวที่เสิร์ฟมาในรูปแบบคล้ายเนื้อสไลด์เป็นแผ่นกลมคลุกเคล้ากับกระเทียมสีดำที่ผิวด้านนอกตัวเนื้อปลาให้รสชาติเค็มอ่อนๆ เสิร์ฟมาพร้อมบร็อคโคลี่และกะทิที่เชฟนำมาผสมไนโตรเจนเหลวจนจับตัวเป็นก้อน ก่อนรับประทานราดด้วยเดรสซิ่งที่ได้กลิ่น Citrus รสชาติเปรี้ยวหวาน รับประทานพร้อมจิบน้ำผลไม้แล้วแล้วสดชื่นมากๆ
เมนูที่สาม Baking Beetroot อีกหนึ่งเมนูที่เชฟนำบีทรูททั้งชิ้นมาอบไล่ระดับความสุกและแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน จึงได้ทั้งมีความกรอบ ความกรุบ และความนุ่ม เสิร์ฟพร้อมเจลลี่บีทรูท มะละกอดองรสเปรี้ยวหวาน เมล็ดสาคูที่ Infuse กับบีทรูท ราดซอสบีทรูทสีแดงสดเพิ่มความหอมด้วย Dill oil หรือน้ำมันสกัดจากผักชีลาว ท็อปด้วยคาร์เวียร์ รับประทานหลายๆ ส่วนสลับกันจะได้สัมผัสของบีทรูทรสชาติเปรี้ยวหวานแต่ละแบบ ถือว่าเป็นจานที่มีรายละเอียดที่ซับซ้อนแต่รสชาติเข้าถึงง่ายครับ
มาถึง Juice Paring แก้วที่สอง คือน้ำบีทรูทผสมมันแกว และสับปะรด หลายคนอาจจะเกรงว่าน้ำบีทรูทจะมีกลิ่นแต่แก้วนี้สับปะรดและมันแกวช่วยดับกลิ่นได้ครับ อร่อยใช้ได้เลย
เมนูที่สี่ของคอร์สนี้ Mom’s Soup Memories จานนี้เป็นจานที่ผมชอบมากที่สุดจนอยากจะขอเพิ่มเลยครับ รสชาติของจานนี้ซับซ้อนต่างจากหน้าตาที่ดูเรียบง่ายมากๆ เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากสมัยเด็กที่คุณแม่มักจะทำซุปแตงกวาปลาหมึกให้รับประทาน โดยเชฟประยุกต์ด้วยการนำหมึกมาสไลด์เป็นเส้นยาวบางๆ หมักกับเครื่องปรุงและนำมาม้วนเป็นก้อนเสิร์ฟในถ้วย ท็อปด้านบนด้วยแตงกวาดองที่ให้รสเปรี้ยวหวานตัดกับรสชาติเค็มของหมึก ในตอนเสิร์ฟเชฟจะนำน้ำสต็อคจากไก่เคี่ยวกับน้ำมันกระเทียม พร้อมมะระที่ให้รสขมโคนลิ้นเล็กน้อยใส่ลงในกาที่มีโรสแมร์รี่และไธม์เพื่อเพิ่มความหอม รินลงไปในถ้วย ตอนรับประทานให้คลี่หมึกออกมาให้ทุกส่วนโดนน้ำซุป หมึกที่โดนซุปจะสุกกำลังดีให้สัมผัสหนึบและหอมละมุนคละคลุ้งอยู่ในปาก
เมนูที่ห้า Blue of the Sea อีกหนึ่งเมนูที่เซอร์ไพร์ซคนรับประทานมากๆ เมนูนี้เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากปูผัดผงกะหรี่ แต่เชฟรังสรรค์เมนูนี้ออกมาเป็นอีกรูปแบบโดยสิ้นเชิงในรูปของโรลซึ่งทำมาจากซิลิแอ็กให้มีลักษณะเป็นแผ่นกรอบและหวาน ด้านในอัดแน่นด้วยเนื้อปูท็อปด้านบนด้วย Hollandaise Sauce รสละมุนที่ให้ความหอมของผงกะหรี่ เวลารับประทานให้เคาะตัวโรลให้แตกและรับประทานทั้งหมดพร้อมกับ Celery หั่นฝอยความรู้สึกเหมือนปูผัดผงกะหรี่ยังไงยังงั้นเลยครับ
Juice Paring แก้วที่สามเป็นน้ำมะเฟืองผสมกับแตงกวาและแอปเปิลเขียว ตอนแรกกังวลว่ารสฝาดของมะเฟืองและความเหม็นเขียวของแตงกวาจะทำให้แก้วนี้ไม่อร่อย แต่หลังจากลองชิมกลับไม่มีความเขียวและความฝาดเลย แถมรสชาติกลับดีด้วยครับ
เมนูที่หก Raised in Chiang Rai, Cooked in Bangkok เมนูสุดพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจากไก่อบฟาง โดยเชฟได้นำปีกบนมาเลาะกระดูกออกแล้วยัดไส้เนื้อไก่สับ ลูกผักชี พริกไทยเข้าไป จากนั้นนำไปซูวีจนสุกและเซียต่อให้หนังเหลืองกรอบ เสิร์ฟคู่ข้าวหอมมะลิแดงที่เชฟนำมาทำเป็นลักษณะพูเร่ พร้อมสลัดที่เคียงมากับข้าวแดงคั่วพอกรอบ ตอนเสิร์ฟเชฟจะรมควันให้ไก่มีกลิ่นหอม และราดด้วยน้ำสต็อคไก่ รับประทานทั้งหมดพร้อมกันได้ความรู้สึกเหมือนข้าวไก่ย่างที่เราเคยรับประทาน
Juice Paring แก้วที่สี่ น้ำองุ่นขาว ผสมมะเฟืองและสไปรท์ โดยเชฟได้แรงบันดาลใจจากไวน์ แต่เชฟใช้สไปรท์เพื่อเพิ่มความซ่าและกลิ่นแทนแอลกอฮอล์
มาต่อกับเมนูอาหารคาวจานสุดท้ายกับ The King of Beef เมนูเอาใจคนรักเนื้อ เชฟใช้วากิวส่วน Striploin ขนาดกำลังพอดีมาย่างสุกพอประมาณ เสิร์ฟพร้อมหน่อไม้ฝรั่ง ก้านคูนฝานบาง เห็ดมอเรลสอดไส้มูส ดรอปด้วยเกาลัดบดและซอสฟูเม่เข้มข้นที่เคี่ยวจากหางวัว
ล้างปากก่อนเริ่มของหวานด้วย Juice Paring แก้วที่ 5 ซึ่งเป็นแก้วที่ผมประทับใจมากที่สุดครับ บอกได้เลยว่านี่เป็น Mocktail ที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยดื่มมาเลย โดยแก้วนี้เชฟได้นำวนิลาสดทั้งฝักมา Infuse กับน้ำเชื่อม ขิงและใบเตยข้ามคืนเพื่อกลิ่นที่หอมเตะจมูก ก่อนเสิร์ฟจะนำ Sparking Water หรือ Soda มาผสมเพื่อเพิ่มความซ่าและบาลานซ์ความหวานออกมาเป็นเครื่องดื่มสุดพิเศษแก้วนี้ ต้องบอกว่าอร่อยถึงขั้นที่ต้องกลับมาลองทำเองที่บ้านเลยครับ แต่ยังไงก็ไม่อร่อยเท่ากับเชฟทำอยู่ดี
เมนูที่แปด ล้างปากด้วยของหวานจานแรก Sparrow Grass ไอศครีมโฮมเมดที่เชฟฉีกกฏของหวานด้วยการทำจากวัตถุดิบอย่างหน่อไม้ฝรั่ง เสิร์ฟพร้อมชิ้นหน่อไม้ฝรั่งกรอบๆ ที่นำมาเชื่อมกับน้ำผึ้งจนจับตัวเป็นคาราเมล และซอสผักชีฝรั่งที่ถูกผสมไนโตรเจนเหลวจนจับเป็นก้อนทั้งหมดวางมาบนครัมเบิลกรอบๆ รับประทานแล้วได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่อื่นอย่างแน่นอน
เมนูที่เก้า เมนูของหวานจานที่สอง หากคุณคิดว่าหน่อไม้ฝรั่งแปลกแล้วคุณต้องลองเมนูนี้ครับ Green on Ice ไอศกรีมโฮมเมดที่เชฟใช้โหระพาเป็นส่วนประกอบหลักซึ่งแค่ตักก็ได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสครีมมะม่วงเนื้อเนียนรสชาติละมุน มูสไวท์ช็อคโกแลต เจลมะม่วง ครัมเบิลกรุบกรอบ ตกแต่งด้วยแผ่นงาดำที่ทำลวดลายออกมาคล้ายลายกนกของไทย ให้ความแปลกใหม่แต่เข้ากันอย่างเหลือเชื่อครับ
ของหวานจานสุดท้าย Sweet Bites เมนูของหวาน 8 อย่างเสิร์ฟมาในก่องไม้สุดหรูโดยเชฟแนะนำให้รับประทานตามลำดับดังนี้ คุกกี้บีทรูท คุกกี้ชาเขียว ไวท์ช็อคโกแลคสอดไส้โฟมทุเรียน บานานามาร์ชเมลโล่ว ช็อคโกแลตขิง มิกซ์นัทคาราเมลเคลือบเมล็ดป็อบปี้ เจลลี่มะเฟือง และเจลลี่ส้มซ่า
เป็นอย่างไรบ้างครับกับมื้ออาหาร Nordic Cuisine ที่ผมได้นำมาฝากทุกท่านในวันนี้ ส่วนตัวถือว่าเป็นอาหารที่รสชาติถูกปากและมีความคิดสร้างสรรค์มาก ในแต่ละจานเครื่องดื่มแต่ละแก้วล้วนมีความเชื่อมโยงและผ่านการรังสรรค์ที่ถูกคิดมาอย่างดี จนผมสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่า เชฟเฟ-รุ่งทิวา ชุ่มมงคล นั้นคือหนึ่งในเชฟที่ผมประทับใจและทำให้ค่ำคืนนี้พิเศษมากๆ ครับ
หากท่านใดสนใจสามารถโทรสำรองที่นั่งได้ทุกวันที่เบอร์ 0-2846-8888 หรือเว็บไซท์
hilton.com/en/waldorf-astoria โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ชั้น Lower Lobby 151 ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
เรื่อง : Khanenpan C.
ภาพ : Pol.Cap. Kittin A.
nordic cuisine, european cuisine, fine dining, front room, waldorf astoria, review
kinlakestars.com
KinlakeStars.com กินแหลกแจกดาว สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง kinlakestars.com – กินแหลกแจกดาว