ร้านสเต็กสุดคลาสสิคในตำนาน 1 ในใจของใครหลายคน ขายเนื้อคุณภาพจาก USA, AUS, JAPAN @ New York Steak House, JW Marriott Hotel
วันนี้ Kinlakestars.com ขอพามาชิมร้านสเต็กในตำนาน 1 ในใจของใครหลายๆคนอย่าง New York Steak House ที่โรงแรม JW Marriott กันบ้าง ที่นี่นั้นเปิดมาได้กว่า 14 ปีแล้ว เน้นแต่งร้านและจัดอาหารในสไตล์ Classic American ที่เน้นเสิร์ฟเนื้อสเต็กล้วนๆ ไม่ผ่านการหมักใดๆ เน้นคุณภาพของวัวสายพันธุ์ดี แล้วยังถูกคัดกรองคุณภาพ เพื่อหาที่สุดของที่สุด เปอร์เซ็นต์ไม่กี่สิบจากเต็มร้อยเพื่อมาเสิร์ฟตรงหน้าคุณ (US Prime highest USDA Certified Prime Beef) โดยมีเนื้อมาจากอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเนื้อลูกครึ่งออสเตรเลียผสมญี่ปุ่น (วากิว) ซึ่งเรียกว่าเนื้อ เทอร์มาฮ๊อค ให้เลือกสั่งตามความชอบทานส่วนไหนของวัวของแต่ละท่าน เนื้อที่มาจากแต่ละประเทศนั้นมีจุดเด่น ในแต่ละส่วนที่แตกต่างกันไป เช่น ที่มาจากอเมริกาจะเด่นในส่วน Filet Mignon ที่สุด เป็นต้น หรือถ้ายังไม่แน่ใจว่าวันนี้อยากจะลองส่วนไหนดี ผู้รับเมนูก็ยินดีแนะนำเพิ่มเติมค่ะ
ครัวที่นี่เองก็เป็นกึ่งครัวเปิด กล่าวคือ ผนังด้านหนึ่งของครัวนั้นจะเป็นผนังกระจกตั้งแต่พ้นขึ้นมาจากขอบของเคาท์เตอร์ค่ะ ซึ่งเราจะเห็นทั้งไฟลุก การทำสเต็กทุกขั้นตอน การปรุง และตู้หอยและตู้กุ้งล็อปสเตอร์ว่ายเล่นไปมา ก่อนมันจะมาอยู่ในจานเราค่ะ
เมนูเนื้อที่อีกประเดี๋ยวเราจะได้ทานกันในวันนี้เป็น Spice Rubbed Tomahawk Wagyu Roast Beef for Two (4,300 บาท) ที่จะตัดส่วนที่ต้องการออกมาแล้วนำไปย่าง เมื่อได้ที่ นำไปอบเพิ่มเพื่อให้ได้อุณหภูมิความสุกตามที่ต้องการ จากนั้นนำมาแล่พร้อมเสิร์ฟที่โต๊ะ
ส่วนตอนนี้ขอพักจากเรื่องเนื้อของที่นี่ มานั่งเปิดเมนูอาหารกันบ้าง เมนูที่ท่านมาเปิดคราใดก็จะพบ การนำเสนอรายการอาหารในรูปแบบเดิม เหมือนกับวันวานที่เพิ่งเปิดร้านมาใหม่เช่นกัน แต่ทั้งนี้ที่นี่ยังได้ทำการอัพเดตเมนูอยู่ทุกปี โดยมีทริกในการเลือกสั่งอยู่อย่างหนึ่งคือ ในแต่ละหมวดของอาหาร เช่น Appetizer Soup ที่รายการแรกสุดในหมวดนั้นๆ คือเมนูแนะนำและสั่งกันมากที่สุด! เราจึงสั่งมา 2-3 เมนู ไม่สิ มีมากกว่านั้น เอาเป็นว่ามาเริ่มชิมกันเลยดีกว่าค่ะ
สิ่งแรกของร้านอาหารที่จะเสิร์ฟให้รองท้องกันก่อนคือขนมปัง แต่ที่แตกต่างออกไปคือมีมาให้ 4 แบบ 4 รสชาติ ตามสีผิวของขนมปังและสมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนประกอบในแต่ละชิ้น ซึ่งชิ้นนึงมี Whole Wheat ชิ้นนึงมี Onion อยู่ประปรายในเนื้อขนมปัง ผิวกรอบนิดๆทานกับเนยกระเทียมที่มีมาให้ดี ขิ้นนึงมีเมล็ดงาโรยอยู่ ชิ้นนึงเป็น Focaccia มีผง Rosemary โรยอยู่ด้านบน จึงทำให้เวลาทานนั้นมีกลิ่นหอมและรสเย็นๆขึ้นมา
หลังจากทานขนมปังรองท้องกันไปบ้างแล้ว คราวนี้เรามาต่อกันที่ American Lobster Bisque (490 บาท) ที่ใช้เวลาในการทำ 1 วันก็ไม่พอ เพราะต้องผ่านการเคี่ยวแล้วเคี่ยวอีก โดยไม่ได้ใช้เครื่องปรุงจากพวกเกลือเป็นหลักเหมือนหลายๆที่ แต่เคี่ยวจากเปลือกของล็อปสเตอร์ และบรรดาสารพัดผัก พอเคี่ยวเสร็จก็เอามากรอง และก็เคี่ยวต่อกันไปถึงเกือบ 3 วัน เลยทีเดียวค่ะ เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นออกหวานของกุ้งล็อบสเตอร์ที่มีรสเฉพาะตัวออกมาอย่างเน้นๆ พร้อมชิ้นเนื้อกุ้งล็อปสเตอร์ ให้ได้เคี้ยวคู่กับน้ำซุปอุ่นๆไปด้วย รสชาติหวาน มัน เค็ม ลงตัวมากค่ะ คือมันดีมากๆเลยค่ะ
หากคุณเคยลองหอยนางรม Fine de Claire จากฝรั่งเศสมา แล้วอยากทานอีก ที่นี่ก็มีค่ะ แต่ที่อยากให้ลองมากกว่า คือ Barron Point ที่ส่งตรงมาจากอเมกา ตัวใหญ่ เนื้อสีขาวแน่น ออกครีมมี่ๆ เค็มเหมือนน้ำทะเลไม่มากและหวาน สด จากชายฝั่งประเทศอเมริกาค่ะ (ตัวละ 180 บาท) แต่ Fine de Claire ของที่นี่ก็หวานสด อร่อยแบบเบาๆไม่ครีมเหมือนตัวก่อน ลองเลือกได้ แล้วแต่สไตล์คนนะคะ และร้านนั้นยังคงละเอียดในทุกขั้นตอน รู้ใจคนกินว่าต้องการอะไรหลังจากกิน จึงมีน้ำล้างมือในจานเงินใส่มาในถ้วยเงินพร้อม ผ้า และ เลมอน ค่ะ
Lump Snow Crab Cakes (520 บาท) ที่มาพร้อมกับผักสดชุดเล็กพอเพิ่มสีสันให้กับจาน มีปูอัดคลุกน้ำสลัดอยู่ข้างเคียงกัน ลองตัดเข้าไปในตัวเค้กเจอเนื้อปูสดๆเน้นๆเป็นก้อนๆเลยล่ะค่ะ รสชาติลงตัวมากค่ะเนื้อปูสดจึงหวานจากตัวเนื้อปูเองกับแป้งและเครื่องปรุงรสมันเค็มนิดๆดีมากค่ะ จานนี้จึงดีงามด้วยประการฉะนี้แล และที่สำคัญนะคะ เมนูนี้ที่นี่ทำสดๆไม่ได้ทำทิ้งไว้เหมือนบางที่นะคะ ดังนั้นจึงยิ่งอร่อยค่ะ
เราเพิ่งทาน กุ้งล็อบสเตอร์ หอยนางรม เนื้อปู กันแล้ว ขาดปลาค่ะ งั้นทานปลาด้วยเมนู Traditional Smoked Salmon (590 บาท) กันค่ะ จานนี้จะมีพนักงานมาแล่เนื้อปลาแซลมอนสีส้มๆที่แทบจะไม่เห็นลายเส้นขาวๆเลย บนรถเข็นที่ข้างๆโต๊ะ เนื้อปลาจะถูกเฉือนเป็นแผ่นบางๆ เส้นยาวๆแล้วค่อยจัดเรียงลงบนจานทีละแผ่น ซึ่งเนื้อปลานั้นสด หวาน มัน เค็มนิดๆ ดีทีเดียวล่ะค่ะ ทานคู่กับน้ำสลัดที่ราดมาด้านบนก็อร่อยไปเพลินดี
ต่อกันด้วยอีกหนึ่งรถเข็นที่พนักงานจะมาทำ Caesar Salad (520 บาท) ให้ค่ะ โดยตอนแรกเค้าจะค่อยๆผสมเป็นน้ำสลัดขึ้นมาก่อนแล้วจึงค่อยๆใส่ผักสดๆกรอบๆนำเข้ามา ลงไปคลุกให้เข้ากัน ตามด้วย ขนมปังกรอบและแฮม ซึ่งเราสามารถบอกเค้าได้ว่าอยากได้อะไร มากน้อยแค่ไหนได้ค่ะ สลัดของที่นี่นั้นเป็น light salad ด้วยไม่อยากให้รสชาติของน้ำสลัด กลบความหวานกรอบของผักไปหมด
อย่างที่ตอนแรกได้เกริ่นไปว่าวันนี้เราจะมาทานเนื้อออสเตรเลียผสมญี่ปุ่นกัน คราวนี้ถึงเวลาแล้วค่ะ พนักงานได้มาพร้อมกับรถเข็นแล่เนื้อให้ทานที่ข้างๆโต๊ะกันอีกรอบ ถึงแม้ว่าเนื้อที่นี่จะไม่ได้ผ่านการหมักอะไรมา แต่สำหรับคนที่ชอบใส่โน่นเติมนี่ ต้องการรสชาติมากขึ้น ก็มีให้ใส่เล่นหลายแบบค่ะ เช่น เกลือ 5 แบบ ซอส Blue Cheese ซอสบาร์บีคิว ซอสเกรวี่ที่ใช้น้ำสต๊อกเนื้อมาทำ 2-3 วัน ไร้ผงชูรส มัสตาร์ด 4 แบบ พร้อม Parmesan Cheese Salad และ Roasted Kipfler Potatoes with Rosemary
แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบเนื้อชิ้นนี้มาแบบ Medium Rare และเนื้อดีมากค่ะ ด้วยรสชาติของเนื้อเอง คนชอบเนื้อจริงๆคงไม่อยากเติมอะไรเลย ทั้งหั่นง่าย เคี้ยวง่ายกับขอบที่กรอบนิดๆ เนื้อด้านในมีส่วนมันเป็นส่วนๆให้หนึบๆหน่อย (ไม่ใช่แบบมันแทรก ภายในเนื้อฉ่ำรสดีมากๆ เพราะมีมันน้อยกว่านั้น แต่ยังคงความนุ่มได้ดี) ลองทานแล้วจะตกหลุมรักเนื้อชิ้นนี้ได้ไม่ยากเลยค่ะ
ต่อกันด้วยของหวานอย่าง Mix Berry and Macademia Ice-cream แม้จะดูธรรมดาในชื่อแต่หน้าตาก็ชวนน่ากิน และ รสชาติก็เลิศมากค่ะ เหมาะแก่การล้างปาก และ ปิดมื้ออาหาร ซึ่ง สำหรับจานนี้นั้น เชฟคัดมาแต่ราสเบอรี บลูเบอรี สตรอเบอรี สดๆ หอม หวาน เปรี้ยว ทานคู่กับซอสสตรอเบอรีสีแดงสด รสหวาน ไอศกรีมถั่วแมคคาเดเมียที่เหมือนนมหอมถั่วอยู่ในเนื้อไอศกรีม มัน หวานๆ กลมกล่อม อยู่ ชวนละลายได้อีก
ทั้งหมดนี้คุณจะได้นั่งทานในร้านที่ตกอยู่ในบรรยากาศแบบ New York สมัยก่อร่างสร้างเมืองจากภาพถ่ายขาว-ดำของยุคนั้น และการใช้โทนขาว น้ำตาลแดงของไม้ พื้นไม้ มีการเล่นโครงระแนงไม้และระดับพื้นในการกั้นแบ่งความเป็นส่วนตัวแตกต่างกันออกไป หรือถ้าอยากได้ห้องจัดเลี้ยงขนาดหลายๆคนที่นี่ก็จัดให้ได้ค่ะ