ทั้งลอยฟ้า มุดใต้ดิน ปีนเขาชมเมือง….เพื่อนๆผู้อ่านหลายๆท่านอาจได้เคยดูหนังฟอร์มยักษ์หลายๆเรื่องที่มีฉากที่สวยงามบ้าง แปลกตาน่าอัศจรรย์บ้าง ซึ่งหลายๆเรื่องใช้เทคนิคทางกราฟิกในการจำลองภาพเหล่านั้นขึ้นมา หรือ CG นั้นเอง
แต่บนโลกของเรานี้ก็มีสถานที่สวยงามและประหลาดใจดั่งฉากถ่ายทำหนังที่รังสรรค์ขึ้นโดยธรรมชาติมากมาย หลายแห่งมีความ สวย แปลกตาเสียจนไม่น่าเชื่อว่า สถานที่นั้นมีอยู่จริง เฉกเช่น แท่งหินสารพัดรูปทรงในแคปพาโดเชีย หนึ่งในภูมิประเทศสุดแปลกตา น่าค้นหา และควรค่าแก่การมาเยือนครั้งหนึ่งในชีวิตที่ตุรกี
เกริ่นนำ
“แคปพาโดเชีย” เป็นชื่อที่ปรากฏตลอดมาในประวัติศาสตร์ของคริสตศาสนาและเป็นชื่อที่ใช้โดยทั่วไปที่หมายถึงบริเวณที่เป็นที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยว ในบริบทของภูมิภาคอันมีความน่าตื่นตาตื่นใจทางธรรมชาติ โดยเฉพาะภูมิสัณฐานที่มีลักษณะเป็นแท่งๆ คล้ายหอปล่องไฟ หรือ เห็ด (ปล่องไฟธรรมชาติ (fairy chimney) และประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคอานาโตเลีย
ในสมัยของเฮโรโดทัส กลุ่มชาติพันธุ์แคปพาโดเชียกล่าวว่าเป็นผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในภูมิภาคตั้งแต่ภูเขาทอรัสไปจนถึงบริเวณยูซีน (ทะเลดำ) ฉะนั้นแคปพาโดเชียในกรณีนี้จึงมีบริเวณทางตอนใต้จรดเทือกเขาทอรัส ที่เป็นพรมแดนธรรมชาติที่แยกจากซิลิเคีย, ทางตะวันออกโดยแม่น้ำยูเฟรทีสตอนเหนือและ ที่ราบสูงอาร์มีเนีย, ทางตอนเหนือโดยภูมิภาคพอนทัส และทางตะวันตกโดยภูมิภาคไลเคาเนีย และ กาเลเชียตะวันออก ภูมิประเทศของคัปปาโดเกีย มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียวใดในโลก ปี ค.ศ.1985 ยูเนสโกจึงได้ขึ้นทะเบียนคัปปาโดเกีย เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของประเทศตุรกี
แล้วเหตุใดพื้นที่เขต แคปพาโดเชีย จึงแปลกประหลาดเช่นนี้ ? ก็เนื่องมาจาก ภูเขาไฟเออซิเยสและภูเขาไฟฮาซาน เกิดการประทุครั้งใหญ่ เมื่อ 30 ล้านปีก่อน พ่นเถ้าถ่านลงทับถมเป็นชั้นหนากว่า 100 เมตร พอชั้นหินเริ่มเย็นตัว ภูเขาไฟก็ระเบิด ทำให้ลาวาไหลคลุมทับชั้นหินจากเถ้าถ่านเดิม จนในที่สุดกลายเป็นแผ่นดินใหม่ขึ้นมา
หากยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองจินตนาการถึงเค้กสักก้อน เนื้อเค้กฟองน้ำเปรียบเสมือนชั้นของเถ้าถ่าน ส่วนลาวาคือชั้นผิวเค้กที่เป็นครีมด้านบนสุด พอเวลาผ่านไป กระแสลม พายุฝน และหิมะ กัดกร่อนก้อนเค้กนี้ไปเรื่อยๆ จนกำเนิดเป็นร่องของหุบเขา รวมถึงแท่งหินรูปร่างประหลาดตา บางอันมีลักษณะคล้ายปล่องไฟของนางฟ้าที่อาศัยอยู่ใต้ดิน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ ธรรมชาติใช้เวลาสรรสร้างยาวนานถึง 10 ล้านปี และแท่งหินเหล่านั้นก็กลายเป็นที่อยู่และเมืองในเวลาต่อมา…
การเดินทาง
การเดินทางมายังแคปพาโดเชีย สามารถทำได้ 2 วิธี คือ ทางเครื่องบิน โดยมีสนามบินใกล้เคียง 2 แห่ง คือ สนามบินเมืองนีฟซีฮีร์ (Nevsehir) และสนามบินเมืองเคเซอรี่ (Kayseri) อีกวิธีคือ รถบัส ซึ่งมีหลายบริษัทคอยให้บริการสามารถเดินทางได้จากหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศตุรกี
จุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ อยู่ในบริเวณ 3 เมือง คือ เกอเรเม่ อุชิซาร์ และอูกูปร์ (Goreme, Uchisar, Urgup) ผมเลือกเดินทางไปยังเมืองเกอเรเม่ ข้อแนะนำคือ ท่านที่จะไปสามารถเลือกการเดินทางด้วยรถบัสได้จากเมืองปามุคคาเล่ (ซึ่งจะขอแนะนำให้ในบทความถัดไป) ใช้เวลาเดินทาง 9 ชั่วโมง ซึ่งขากลับผมเลือกนั่งเครื่องบินจากสนามบินเมืองเคเซอรี่ (Kayseri) กลับไปยังอิสตันบลู
กิจกรรม
นั่งบอลลูน
เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว กิจกรรมที่ห้ามพลาดเด็ดขาด คือ การขึ้นบอลลูนดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือน่านฟ้าคัปปาโดเกีย ถึงสนนราคาจะสูงสักหน่อย (ราว 4,000 – 8,000 บาทต่อคนทั้งนี้ราคาขึ้นอยู่กับบริการของแต่ละบริษัท)
สำหรับทริปนี้ผมเลือกเป็นเรท 200 US. $ ซึ่งจะมีใบประกาศพร้อมเปิดแชมเปญให้หลังจากบอลลูนร่อนลงจอด ขอย้ำอีกรอบเลยครับว่า ห้ามพลาดจริงๆ มันคือประสบการณ์อันล้ำค่า ทัศนียภาพของคัปปาโดเกียนั้นจะสวยมากเมื่อชมจากมุมสูง
ตั้งแต่เวลา 4:30 น. ของแต่ละวัน รถตู้ของบริษัทบอลลูน จะทยอยรับนักท่องเที่ยวจากโรงแรมต่างๆ เพื่อให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เมื่อถึงบริเวณปล่อยบอลลูน
เจ้าหน้าที่จะตระเตรียมความพร้อมของผู้โดยสาร ตรวจสอบสภาพของบอลลูนอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนเป่าลม และเริ่มเติมเชื้อเพลิง เข้าไปสู่บอลลูน
ทันแสงแรกของวันอย่างสบายๆ งดงามเหนือคำบรรยายจริงๆครับ
ผู้โดยสารประมาณ 15 คน เริ่มเข้าไปยืนอยู่ในกระเช้าซึ่งมีขอบกั้นสูงประมาณ 1 เมตร เป็นระดับที่กำลังดี ให้ปลอดภัยแต่ยังเห็นทัศนียภาพชัดเจน นั่นสูงพอที่จะลดความประหม่าของผมลงได้ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จึงเข้ามาอธิบายมาตรการความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน
.....ในระหว่างการล่องบอลลูนนั้น จะไม่ได้ลอยอยู่ในระดับความสูงเดิมตลอด กัปตันบอลลูนนอกจากคอยบังคับทิศทางแล้ว ยังคอยลดระดับและเพิ่มระดับความสูงของบอลลูน ขึ้นๆ ลงๆด้วย
....ในบางจุดก็จะลดระดับลงแทบชนเขา ให้ชมกันอย่างใกล้ๆ แม้จะดูหวาดเสียวแต่รับรองว่า ปลอดภัย 100% ครับ
....เสียงกัปตันแจ้งว่าบอลลูนกำลังลดระดับจากความสูงประมาณ 4,000 เมตร ลงกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านล่างเป็นหญ้าสีทอง บอลลูนทอดสมอลง มีคนด้านล่างเป็นเจ้าหน้าที่ช่วยกันดึง
ทุกคนทยอยลงจากบอลลูน และเริ่มดื่มด่ำกับแชมเปญ ดั่งเป็นผู้กล้าที่รอดชีวิตมาจากสงคราม ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เสียแรงที่ตื่นเช้าขึ้นมา และเกินคุ้มกับเงินที่จ่ายไปจริงๆ
เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นกับทุ่งหญ้าสีทองสักพักจากนั้นจึงนั่งรถกลับไปยังโรงแรมเพื่อกินอาหารเช้า
...ชมเมือง
ชม นครใต้ดิน (Underground city of dDerinkuyu of Kaymali) .ซึ่งเป็นที่หลบซ่อนจากการรุกรานของข้าศึก พร้อมทั้งยังมีระบบระบายอากาศ และชื่นชมสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ใต้ดิน ภายในใต้ดินนี้ท่านจะได้พบกับโบสถ์ ร้านอาหาร ห้องนอน และสารพัดพื้นที่ใช้งานมากมาย ซึ่งแต่ละส่วนไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกัน เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินแบบบันได ซึ่งมีความสูงต่ำของเพดานที่ไม่เท่ากันด้วย.
.
สำหรับความลึกนั้นไม่น่าเชื่อว่าลงไปลึกมากกว่า 40 ชั้นทีเดียวแต่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมลึกลงไปถึงเพียง 11 ชั้น เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเอง เพราะยิ่งลงลึกก็จะยิ่งมืด อีกทั้งอากาศที่เบาบางลง
และหนึ่งในสิ่งที่พลาดไม่ได้ ชมเมือง เกอเรเม่ (Goreme) ซึ่งตัวเมืองโบราณนนี้จะมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวคริสต์ภูมิภาคนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 9
.... ซึ่งถือกำเนิดจากความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์ และยังเป็นการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ เหตุผลที่ผมเลือกเกอเรเม่ เพราะ นอกจากจะสวยงาม แปลกตา ......ถ่ายรูปสวยแล้วยังมีความน่าสนใจอย่างมากในเชิงประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังง่ายต่อการเดินทางในการไปยังสนามบิน เพราะผมวางแพลนทริปไว้เมื่อเที่ยวคัปปาโดเซียเสร็จกก็จะบินกลับไปยังอิสตันบลู
.
ปิดท้ายด้วยอูฐน้อยมุ้งมิ้ง หากถ่ายรูปด้วย 5 euro ถ้าขี่ก็ 10-20 euro ราคาต่อรองได้ครับ
เรื่อง / ภาพ Pol.lt. Kittin A.
KinlakeStars.com
เที่ยว แคปพาโดเชีย / Cappadocia