พูดถึง ‘สเปน’ ก็คงต้องนึกถึง วัวกระทิง และ ชื่อร้านอาหารที่เราจะพามาในวันนี้ ก็เป็นชื่อของวัวกระทิงตัวหนึ่งระดับตำนาน คือ ISLERO
เดินเข้ามาในร้าน ทางขวาจะมี เคาน์เตอร์บาร์ และ โต๊ะไม้ยาวๆ สำหรับนั่งดื่ม คุยกันได้ แต่ที่สะดุดตา คือ วัวกระทิงสีแดงที่ผนัง
เดินเข้ามาอีกนิด มีชั้นเก็บไวน์ และ มีมุมส่วนตัวเล็กๆ ให้นั่งดื่มได้เช่นกัน และยังคงมีภาพวัวกระทิงเช่นเคย กำลังทักทายมาทางนี้
นอกจากนี้เรายังสามารถเดินออกไปด้านนอกออกไปสูดอากาศข้างนอกได้เช่นกัน นั่งจิบไวน์ ดูบรรยากาศข้างนอกได้
เรากลับมาที่ฝั่งซ้ายกันบ้าง ก็เป็นโต๊ะอาหาร นั่งสบายๆ เรียงรายให้เลือกนั่งกันได้ตามอัธยาศัย
เชฟคนล่าสุด แห่ง ISLERO นั่นก็คือ Chef Emiliano Alvarellos (Head Chef) และ แฟนสาว Chef Ilianna Karagkiozi (Pastry Chef) เชฟ Emiliano เองก็เคยผ่านการทำงานในร้านอาหารมิชลินสตาร์หลายแห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ คือ el Bulli ร้านอาหารในสเปน ที่ได้รับดาวจากมิชลิน ถึงสามดาว กันเลยทีเดียว
มาถึงก็ได้รับสิ่งนี้ นั่นก็คือ Welcome Drink
คือ ดีมากๆเลย ต้องบอกแบบนี้เลย เจ้าแก้วนี้มีชื่อว่า GIN FIZZ คือ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่มากๆ คือ เวลาดื่มจะได้ความรู้สึกอุ่นๆ จากโฟมไข่ขาวนุ่มๆ หวานๆ ข้างบน พร้อมกับความเย็นจากส่วนผสมข้างล่าง คาดว่าน่าจะเป็น Margarita หรือ Gin Tonic ซึ่งยังมีความเป็นเกล็ดน้ำแข็ง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันมากๆ
เรามาเริ่มกันที่ Amuse Bouche กันก่อนเลยแล้วกัน มีทั้งหมด 3 อย่าง คือ…
ซุปผักเสิร์ฟแบบเย็นสไตล์สเปน หรือ Gazpacho เย็นๆ ชื่นใจ ไม่เหม็นเขียว มีความข้นนิดหน่อย
Vegetarian Steak
ข้างล่างเหมือนเป็นแตงโมที่หมักในซอสบางอย่างแล้วนำไปย่าง และท๊อปปิ้งด้วยมะเขือเทศหั่นเต๋า กับ ครีมชีส รสชาติออกหวานๆ มีกลิ่นหอมของซอส เรียกน้ำย่อยได้ดีเลยทีเดียว
มาเริ่มจานแรกเบาๆ อย่างสลัดกันก่อน เป็นสลัดบีทรูท สตรอเบอรี่ สีสันของจานนี้มทำออกมาได้น่าสนใจมาก ด้วยสีที่มีความสดใส และองค์ประกอบของส่วนประกอบต่างๆในจาน ดูลงตัวดี
เนื้อสัมผัสของบีทรูทมีความกรอบนิดๆ ข้างใต้มีชีส Idiazabal อยู่ ทานคู่กับสตรอเบอรี่ ทำให้รู้สึกสดชื่นดี
อันนี้มีการใช้บีทรูทห่อเป็นหลอดแล้วสอดไส้ ส่วนสีเขียวๆที่เห็น น่าจะเป็นน้ำมันจากใบมิ้นต์ และโรยด้วยถั่วพิสตาชิโอด้วย
ถัดมา เป็น Shrimp Carpaccio โดยเชฟเลือกใช้กุ้งสีแดงจากสเปน อย่าง Carabinero Shrimp คือ เชฟบอกว่าในส่วนนี้ เชฟใช้ทั้งเนื้อ และ มันของกุ้งเลย มากับ อโวคาโดบด และ มาร์มาเลดหอมหัวแดง ราดด้วย Citrus Vinaigrette
เสิร์ฟมากับขนมปังกรอบ ช่วยเพิ่มเนื้อสัมผัสให้จานนี้ขึ้นมาเลย เนื่องจากจานนี้ทุกอย่างจะออกนิ่มๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราทานทุกอย่างพร้อมกัน เราจะได้ความนุ่มของกุ้งและมันกุ้ง ซอสทุกอย่างๆจะนัวๆ รวมกัน มีความเค็ม และสัมผัสเป็นเป็นเม็ดๆ แตก ของไข่ปลาแซลมอน และ ได้ความกรอบของขนมปังกรอบ อีกด้วย
กุ้งแล้ว เราก็มาต่อที่หอยกัน จานนี้เป็นหอยสแกลลอปย่าง เป็นอีกจานที่รู้สึกว่าอร่อยๆ
หอยย่างมาสุกกำลังดี มีความหอมของตัวหอยเอง และ จากการย่าง ซอสสีเหลืองๆ โฟมๆ มีกลิ่นคล้ายดอกคำฝอยเบาๆ มีเคอเนลล์บล๊อคโคลี่มาให้ทานข้างๆ นุ่มเนียนเลยทีเดียวแหละครับ ส่วนก้อนสีเหลืองๆข้างๆหอย นั้น ก็คือ หัวไชเท้าที่เคี่ยวกับซอสจนได้รสชาติที่เข้มข้น แต่ยังคงกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของหัวไชเท้าอยู่ ยังไม่หมดแค่นี้ คือ ยังโรยด้วยแฮมสเปน Jamon iberico ที่ถูกนำไปทอดจนกรุบกรอบ ทั้งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอีกด้วย
ซึ่งสำหรับจานนี้ รสชาติโดยรวมไม่จัดมาก กำลังดีเลยครับ
ซึ่งสำหรับจานนี้เขาก็มีขนมปัง มาให้ทานด้วย ขอบขนมปังมีความกรอบ ส่วนเนื้อข้างใน เหนียวนุ่มดี
จานต่อมา เป็นหนวดปลาหมึกยักษ์ กับ ถั่วเม็ดโต ในน้ำซุปรสชาติเข้มข้น
ใครหลายคน พอเห็นปลาหมึกยักษ์ก็จะคิดว่าต้องเหนียวแน่เลย แต่สำหรับจานนี้ ต้องบอกเลยว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะมันนุ่มกำลังดี มีความเหนียวหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย แต่รสชาติของตัวปลาหมึกจะออกเค็มไปซักเล็กน้อย
เสิร์ฟมาในซุปที่ทำจากสต๊อกแฮม แต่ตัวซุปรสชาติกำลังดี มีกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ และมีถั่วเม็ดโตสีนวลๆ อย่าง Granja beans พอทานรู้สึกว่ามันนุ่มเนียนมาก
มาต่อกับจานนี้เลย ถั่วลันเตา คือ เป็นจานที่รู้สึกเซอร์ไพรส์เล็กๆ เนื่องจากว่า เมล็ดถั่วที่เราเห็นนั้น แท้จริงไม่ใช่ถั่ว แต่เป็นถั่ว
คือ เมล็ดถั่วที่เห็นนั้น จริงๆแล้ว ทำมาจากถั่วลันเตานี่แหละ แต่เอาออกเป็นเหลวๆ คล้ายซุป หรือ เป็นน้ำถั่วลันเตา เพียงแต่ว่าเชฟนำไปทำ Spherification คือ เป็นหนึ่งในวิธีการปรุงอาหารแบบโมเลกุลาร์ ซึ่งทำออกมา หน้าตาแบบนี้ สามารถหลอกคนทานได้เลยทีเดียว ซึ่งนอกจากตัวสเฟียร์แล้ว เชฟก็ยังใส่ถั่วลันเตาลวกลงไปด้วย โดยสไลด์เป็นแว่นๆ พอให้ได้มีเนื้อสัมผัสเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมี Chorizo ด้วย ซึ่งช่วยชูรสชาติของจานนี้ได้ดีทีเดียว ส่วนเจลลี่สีเขียวๆนั้น เป็นเจลลี่มิ้นต์ ซึ่งก็มีกลิ่นของมิ้นต์อ่อนๆ ไม่มีรสชาติใดๆ สำหรับจานนี้เวลาทาน
เราควรเริ่มจากการตอกไข่ให้แตก เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับจานนี้ซักหน่อย
สำหรับจานนี้เวลาทาน ทำให้รู้สึกเหมือนทานซุป คือ เนื้อสัมผัสของสเฟียร์จะอารมณ์ประมาณไข่ปลาแซลมอน แต่รสชาติข้างในคือถั่วลันเตา รสชาติกลางๆ กำลังดี สำหรับจานนี้เราจะได้ความเค็มจากโชริโซ ความกลมกล่อมจากถั่ว และ ไข่แดงดิบ
จานสุดท้ายสำหรับของคาว นั่นก็คือ จานนี้ ซี่โครงแกะย่าง คือ ขอออกตัวก่อนเลยว่า ปกติไม่ค่อยชอบทานเนื้อแกะ เนื่องจากส่วนใหญ่จะชอบมีกลิ่นสาบติดมา มากบ้าง น้อยบ้าง แต่สำหรับที่นี่ บอกเลยว่า แทบจะไม่ได้กลิ่นนั้นอยู่เลย
เสิร์ฟมาพร้อมกับดอกกระหล่ำบด เนื้อเนียนนุ่ม ละมุนมาก โรยๆ ดอกกระหล่ำมานิดหน่อย ให้พอมีเนื้อสัมผัสเล็กน้อย และส่วนที่หนุนตัวซี่โครงอยู่นั้น เป็นผักโขมห่อด้วยเนื้อแกะที่ถูกปรุงมา ส่วนนี้จะมีกลิ่นเล็กน้อย แต่ไม่มากเท่าไร
ในส่วนของตัวซี่โครงต้องบอกทำได้ดีมาก สุกกำลังดี เนื้อนุ่ม มีมันแทรกเล็กน้อย แต่รสชาติตัวนี้ ก็ยังมีความรู้สึกว่าเค็มไปหน่อย แต่ยังดีที่มีกระหล่ำมาช่วยตัดรสเค็มไปได้บ้าง แต่โดยรวมชอบนะครับ คนที่ทานเนื้อแกะไม่ได้ เพราะไม่ชอบกลิ่นสาบ บอกเลยว่า ต้องลองครับจานนี้
หลังจากจบอาหารคาวกันไป ก็มีอีกจานถูกเสิร์ฟมา มองไกลๆ คิดว่า ไม่ใช่ขนมหวาน ซะอีก
คือ การนำเสนอออกมาดูดีมาก เสมือนไข่มุก ในเปลือกหอย โดยส่วน ตัวมุก จะเป็นคล้ายๆ มูส หรือ พานนา คอตต้า กลิ่นเลมอน ส่วนเยลลี่ใสๆ จะมีรสออกไปทางหวานๆ มีกลิ่นคล้ายลิ้นจี่ และ ทางขวาที่เป็นโฟมๆ มีรสเปรี้ยว
ของหวานตัวจริงของเรามาแล้ว
นำเสนอเป็นจานหวานที่ใช้ช็อคโกแลตเป็นหลัก แต่นำเสนอออกมาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กานาช มูส วงแหวนช็อคโกแลต หรือว่า เป็นตัวครัมเบิล แต่เชฟคงอยากให้ความรู้สึกสดชื่นให้กับจานนี้ด้วยการเติม ส้ม และ เยลลี่มิ้น เข้าไปด้วย
สำหรับจานนี้ ผมว่า กานาชดีมาก มีความเข้มข้น มีความเนียน สัดส่วนของครีม และ ช็อคโกแลตกำลังดี เลยทำให้ออกมาไม่นิ่ม หรือ แข็ง จนเกินไป มีเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย เช่น เนื้อสัมผัสเป็นครีมๆ ของกานาช ความกรุบๆ ของช็อคโกแลต ความกรอบของครัมเบิล ความเด้งๆ ของเจลลี่ เป็นต้น สำหรับมูสช็อคโกแลต มีกลิ่นเฉพาะตัวนิดๆ คล้ายๆกับ กลิ่นส้ม แต่เนื้อมูสออกจะแข็งเกินไปนิดหน่อย แต่เข้าใจว่าอาจจะเพราะรูปทรงที่ทำด้วย ส่วนเยลลี่ ส่วนตัวคิดว่าด้วยรสชาติที่ค่อนข้างอ่อน ไม่ว่าจะเป็นรส หรือ กลิ่น ทำให้สิ่งนี้ดูจะไม่เข้ากับส่วนอื่นๆ ของจานนี้ คือ รับรู้ได้เพียงแค่เนื้อสัมผัสเท่านั้น
คิดว่าหมดแล้วใช่ไหมครับ แต่ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะยังเหลือ Petit Four อีก อยู่ในกล่องไม้วินเทจๆ น่ารักๆ
ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีอีกกล่องหนึ่ง
เปิดออกมาเป็นซิการ์
แท้ที่จริงแล้ว เป็นไอศกรีมที่ทำออกมารูปแบบคล้ายซิการ์ เท่านั้น แล้วเคลือบด้วยช็อคโกแลตบางๆ อีกที อันที่ชิมรสชาติออกเป็นกาแฟๆ หวานไม่มาก
สำหรับราคาอาหารในวันนี้ ท่านละ 2,600++ บาท
ใครสนใจอยากมาลิ้มลองอาหารสเปนแท้ๆ ขอแนะนำให้มาลองได้เลยนะครับ
ร้านอิสเลโร (Islero) ตั้งอยู่บนชั้น G อาคาร Athenee Tower หลังโรงแรม Plaza Athenee Bangkok ซึ่งเชื่อมต่อกันตรงบริเวณ Lobby บนถนนวิทยุ เปิดบริการทุกวัน เวลา 17.00 – 24.00 (Last Order 23.00)
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ สำรองที่นั่ง ได้ที่โทร. 02-168-8100
เรื่อง / ภาพ : KrangKrai T.
KinlakeStars.com