ร่วมฉลองเทศกาล Oktoberfest กับไลน์บุฟเฟต์สุดพิเศษจากห้องอาหาร Goji Kitchen+ Bar
มาอร่อยล้ำกับอาหารเยอรมันต้นตำหรับที่ห้องอาหาร โกจิ คิทเช่น + บาร์ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค สัมผัสกับประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะในช่วงเวลาสุดพิเศษของเทศกาล Oktoberfest ที่เป็นที่รู้จักในฐานะงานเฉลิมฉลองอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โกจิ คิทเช่น + บาร์ ได้ยกบรรยากาศแห่งความสนุกสนานและวัฒนธรรมอาหารเยอรมันมาไว้ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยการเสริมเมนูพิเศษที่รวมเอาไอเท็มคลาสสิกจากเทศกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็น
ขาหมูเยอรมัน เสิร์ฟพร้อมซอสเบียร์ดำเข้มข้น Bratwurst ไส้กรอกเยอรมันเนื้อนุ่ม หรือ Flammkuchen พิซซ่าสไตล์เยอรมัน ท่ามกลางเมนูอาหารนานาชาติอื่นๆ ที่คัดสรรมาอย่างดี สร้างประสบการณ์การทานอาหารที่หลากหลายและน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
Goji kitchen+ bar ตั้งอยู่ในโรงแรม Marriot Marquis Queen’s park กลางสุขุมวิท ที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาว ไทยและต่างประเทศ ปลายเดือน กันยายนถึง 6 ตุลาคม เป็นช่วงของเทศกาลอันโด่งดังของชาวเยอรมัน ห้องอาหารแห่งนี้ก็ตามเทรนด้วยการเพิ่มเมนูอาหารสัญชาติเยอรมัน มาให้คนไทยได้ลิ้มลองกัน สำหรับเมนูที่เพิ่มมาจากไลน์บุฟเฟต์ในช่วงนี้ คนไทยอาจจะรู้จักขาหมูเยอรมัน ที่นี่เป็นอีกหนึ่งเมนูที่โดดเด่นและได้รับความนิยมเสมอ ด้วยขาหมูชิ้นใหญ่ หนังกรอบ เนื้อนุ่มใน ซึ่งความอร่อยของเมนูนี้ยิ่งถูกยกระดับด้วย Dark Beer Gravy ซอสเข้มข้นที่มีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มจากเบียร์ดำ รสชาติกลมกล่อมและลุ่มลึกช่วยเสริมให้ขาหมูมีความพิเศษยิ่งขึ้น การที่เบียร์ดำถูกนำมาเป็นส่วนผสมหลักในการทำซอส ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและไม่หวานเกินไป ช่วยตัดเลี่ยนจากความมันของขาหมูได้ดี
นอกจากนี้ยังมี Bratwurst หรือไส้กรอกเยอรมันเนื้อนุ่มขาวเนียน ที่ต่างจากไส้กรอกที่เราคุ้นเคย ไส้กรอกชนิดนี้จะมีเนื้อสัมผัสที่เนียนและนุ่มมาก ทำให้เวลาทานจะให้ความรู้สึกที่ละมุนกว่าไส้กรอกทั่วไป รสชาติของ Bratwurst จะออกไปทางจืดนิดๆ ไม่เค็มมาก ซึ่งทำให้สามารถรับประทานได้เพลินๆ และไม่รู้สึกหนักเกินไป
โดยปกติแล้ว Bratwurst จะถูกเสิร์ฟพร้อมกับมัสตาร์ดและเครื่องเคียงอย่าง Sauerkraut (กะหล่ำปลีดอง) ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมเค็มเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความสดชื่นและตัดกับความมันของไส้กรอกได้เป็นอย่างดี
บีฟลากูแบบเยอรมัน เป็นเมนูเนื้อวัวตุ๋นที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นของซอสและรสชาติที่ละมุนลิ้น ตัวเนื้อถูกเคี่ยวจนเปื่อยได้ที่ รสสัมผัสนุ่มนวลแทบละลายในปาก ซอสที่ใช้ราดนั้นมีส่วนผสมของไวน์แดงและสมุนไพรท้องถิ่นของเยอรมัน ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมล้ำลึก เมื่อทานคู่กับมันบดเนื้อเนียนละเอียดหรือขนมปังโฮมเมดอุ่นๆ ที่เสิร์ฟมาคู่กัน ยิ่งเพิ่มมิติของรสชาติที่เข้ากันอย่างลงตัว
กลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องเทศในบีฟลากูเป็นเอกลักษณ์ ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและเข้มข้น เป็นหนึ่งในเมนูที่ต้องลองในไลน์อาหารเยอรมันช่วงเทศกาล Oktoberfest เพราะสะท้อนถึงความพิถีพิถันในการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของชาวเยอรมันได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากเมนูสองอย่างที่กล่าวมาแล้ว ยังมี Bergader Edelpilz ชีส ชื่อดังตัวนึงของบริษัท Bergader ที่มีลักษณะคล้ายบลูชีส กลิ่นเเรง รสชาติเข้มข้น
Obatzda ชีสสเปรดที่มักผสม camembert เข้ากับส่วนผสมอื่นๆ และทานคู่กับ เพรทเซล หรือขนมปังไรน์ ซึ่ง เพรทเซลที่นี่ ด้านในนุ่มเหนียว และ กลิ่นหอมอ่อนๆ เข้ากันได้ดี กับชีสต่างๆ
สเปรดชีส อีกชนิดที่ดังในแถบเยอรมัน คือ Griebenschmalz เป็นสเปรดที่ทำจากมันหมูผสมกับหนังหมูกรอบ ใช้ทาบน sourdough, rye bread, pretzel
Pfeffer Schinken คือแฮมรมควันที่โดดเด่นด้วยการเคลือบขอบด้วยพริกไทยดำ ทำให้มีรสชาติเข้มข้นเฉพาะตัว กลิ่นหอมของการรมควันผสานกับความเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากพริกไทยดำช่วยเสริมให้เนื้อแฮมที่นุ่มละมุนมีมิติมากขึ้น การเคลือบพริกไทยไม่เพียงแต่เพิ่มความอร่อย แต่ยังให้สัมผัสที่กรุบกรอบเมื่อกัดไปที่ขอบ ทำให้เมนูนี้เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติที่จัดจ้านและกลมกล่อม
Bierschinken ไส้กรอกหมูขนาดใหญ่ที่มีเนื้อเนียนละเอียดและถูกสไลด์บางๆ มักทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นแฮม แต่แท้จริงแล้วภายในไส้กรอกนี้ยังมีชิ้นหมูที่สอดแทรกอยู่ในตัวไส้กรอก ทำให้เพิ่มความน่าสนใจทั้งในด้านเนื้อสัมผัสและรสชาติ เมื่อรับประทาน Bierschinken จะรู้สึกถึงเนื้อไส้กรอกที่นุ่มละมุนผสานกับชิ้นหมูที่เด่นชัด มักทานคู่กับผักดองและขนมปัง เพื่อเพิ่มความสดชื่นและตัดความเข้มข้นของเนื้อหมู ทำให้ทุกคำที่ทานมีความสมดุล ทั้งความมัน เค็ม และเปรี้ยว
Leberwurst คือไส้กรอกที่ทำจากตับหมูหรือเนื้อตับผสมกับเนื้อสัตว์และเครื่องปรุงรสต่างๆ ทำให้มีเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนและมีกลิ่นรสที่เข้มข้นของตับ ซึ่งอาจจะมีรสเผ็ดนิดๆ จากพริกไทยหรือเครื่องเทศอื่นๆ การทำ Leberwurst นั้นเหมาะที่จะทาเป็นขนมปังหรือทำเป็นแซนวิชง่ายๆ เมื่อทาบนขนมปัง เนื้อไส้กรอกจะละลายในปากอย่างนุ่มนวล โดยที่รสชาติของตับจะหอมกลมกล่อม แต่ไม่หนักเกินไปสำหรับคนที่อาจไม่คุ้นกับรสตับโดยตรง
ในบางพื้นที่ Leberwurst มักจะเสิร์ฟคู่กับผักดองหรือแตงกวาดอง ซึ่งช่วยตัดรสชาติความเข้มข้นของตับได้ดี การทำเป็นแซนวิชด้วย Leberwurst จึงกลายเป็นอาหารว่างที่ให้ความรู้สึกอิ่มท้องแต่ยังคงความอร่อยในแบบเรียบง่าย
เมื่อเราเดินผ่านโซน Cold Cut และ Cheese มาสู่โซนอาหารร้อน จะพบกับเมนูที่หลากหลายและน่าตื่นตา โดยหนึ่งในนั้นคือพิซซ่าสไตล์เยอรมันที่น่าสนใจอย่าง Flammkuchen และ Sauerkraut ซึ่งเป็นเมนูที่หอมกรุ่นพร้อมให้คุณได้ลิ้มลอง
Flammkuchen ถือเป็นพิซซ่าสไตล์เยอรมันที่มีเอกลักษณ์ด้วยแป้งบางกรอบ หน้าเบคอนและหัวหอม บนฐานครีมซอสขาวที่มีรสชาติละมุน เข้ากันดีกับความกรอบของแป้ง ซึ่งให้รสสัมผัสที่ต่างจากพิซซ่าแบบอิตาเลียน ทำให้ได้ลิ้มรสชาติที่เบาและหอมกรุ่น เหมาะสำหรับทานเป็นอาหารว่างหรืออาหารจานหลักก็ได้
ในขณะที่ พิซซ่าหน้า Sauerkraut
โดดเด่นด้วยเครื่องเคียงอย่าง Sauerkraut หรือกะหล่ำปลีดอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หลายคนอาจคุ้นเคย รสชาติของ Sauerkraut มีความเปรี้ยวและเค็มอ่อนๆ ผสมผสานกับรสชาติอื่นๆ บนหน้าแป้งพิซซ่าได้อย่างลงตัว มันเป็นเมนูที่นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์จากกระบวนการหมักที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
ข้างๆ กันยังมี กะหล่ำม่วงดอง (Red Cabbage) ซึ่งมีรสชาติหวานละมุนกว่าเล็กน้อย เหมาะกับการทานคู่กับเมนูเนื้อหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก ขาหมู หรือสเต็ก เพราะกะหล่ำม่วงดองจะช่วยตัดเลี่ยนและเสริมรสชาติให้จานหลักมีความกลมกล่อมและสมดุลมากยิ่งขึ้น
นอกจากเมนูพิซซ่าสไตล์เยอรมันแล้ว ยังมีเมนูที่ไม่ควรพลาดคือ มันฝรั่งสดก้อนกลมๆ ซึ่งมีเนื้อสัมผัสนุ่มละมุน ด้านในจะรู้สึกได้ถึงความหวานอ่อนๆ ของมันฝรั่งที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน ตัวมันฝรั่งเหล่านี้ถือเป็นเมนูที่เพิ่มความอิ่มและเข้ากันได้ดีเมื่อทานคู่กับเมนูหลักหลายชนิด ด้วยความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรสชาติธรรมชาติที่อร่อยนุ่มนวล
อีกหนึ่งเมนูที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ หม้อชีส Spätzle
ซึ่งเป็นพาสต้าสไตล์เยอรมันแบบโฮมเมด ลักษณะของเส้น Spätzle จะคล้ายกับมักกะโรนี แต่จะมีความหนึบและนุ่มมากกว่า เส้นนี้มักจะถูกนำมาผัดกับชีสในหม้อ ทำให้ได้เมนูที่คล้ายกับ mac and cheese ของอิตาลี แต่ Spätzle จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ด้วยการผสมผสานของชีสที่หอมเข้มข้นและเส้นพาสต้านุ่มๆ ที่เคลือบชีสอย่างทั่วถึง ทำให้ได้รสชาติที่ทั้งเข้มข้นและนุ่มลิ้น เหมาะสำหรับคนรักชีสหรือผู้ที่ชื่นชอบเมนูพาสต้าที่มีความกลมกล่อม
เมื่อพูดถึงขนมหวานสไตล์เยอรมันที่โดดเด่น
เมนูหนึ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือ Apple Strudel ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขนมที่มีเอกลักษณ์ของเยอรมัน ความพิเศษของ Apple Strudel อยู่ที่แป้งพัฟที่ซ้อนกันเป็นชั้นบางๆ หลายชั้น ซึ่งเมื่ออบจนกรอบ จะมีความหอมและกรุบกรอบสุดประทับใจ พอสัมผัสกับไอซ์ซิ่งที่โรยหน้าเบาๆ ยิ่งเพิ่มความหวานอ่อนๆ อย่างลงตัว
ด้านในของ Strudel เต็มไปด้วยเนื้อแอปเปิ้ลนุ่มๆ ที่ผ่านการอบจนหวานละมุน แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติของแอปเปิ้ล รสชาติของไส้แอปเปิ้ลจะหวานกลมกล่อมพอดี และเสริมด้วยซอสเบอร์รี่ที่มีรสเปรี้ยวสดชื่นอย่างมิกซ์เบอร์รี่ ซึ่งช่วยตัดกับความหวานได้อย่างลงตัว สร้างความสมดุลของรสชาติให้ขนมจานนี้มีมิติและไม่เลี่ยน
หากต้องการเพิ่มความฟินให้กับเมนูนี้ แนะนำให้เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมสักลูกหนึ่ง ไอศกรีมเย็นๆ ที่ละลายในปากพร้อมกับแป้ง Strudel และเนื้อแอปเปิ้ลจะทำให้คุณสัมผัสได้ถึงความลงตัวของความกรอบ หวาน และเย็นสดชื่นในคำเดียว เป็นการปิดท้ายมื้ออาหารที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง
สำหรับคนที่ชื่นชอบขนมหวานสไตล์เยอรมัน หนึ่งในเมนูที่โดดเด่นและไม่ควรพลาดคือ เค้กแบล็กฟอเรส (Black Forest Cake)
ซึ่งเป็นเค้กสปันจ์ช็อกโกแลตที่มีเนื้อเค้กชุ่มฉ่ำมากทุกชั้น ในแต่ละชั้นจะมีการสอดแทรกด้วยเชอร์รี่หวานอมเปรี้ยวและวิปครีมที่เบาและเนียนละมุน รสชาติของช็อกโกแลตเข้มข้นและเชอร์รี่ที่มีความเปรี้ยวสดชื่น ช่วยสร้างความสมดุลของรสชาติที่หวานพอดี ไม่หนักจนเกินไป ความหลากหลายของเนื้อสัมผัสจากเค้ก ช็อกโกแลต และวิปครีมในทุกคำทำให้เค้กแบล็กฟอเรสกลายเป็นเมนูโปรดของหลายคน
อีกเมนูหนึ่งที่น่าสนใจและมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือ Windbeutel (German cherry cream puff)
ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับชูครีมที่หลายคนรู้จัก แต่จะมีรสชาติที่ละมุนกว่าและไม่หวานมากจนเกินไป แป้งพัฟฟูกรอบภายนอกห่อหุ้มครีมด้านในที่นุ่มและเบา รสชาติครีมจะไม่หวานจัด ทำให้สามารถทานได้ง่ายและไม่รู้สึกเลี่ยน เมื่อทานคู่กับชาร้อนยิ่งทำให้เป็นการปิดท้ายมื้ออาหารได้อย่างลงตัว ชาร้อนจะช่วยตัดความหวานและความมันของครีม สร้างความรู้สึกสดชื่นและสบายท้อง เป็นการจบมื้ออาหารที่น่าประทับใจ
นอกเหนือจากเมนูพิเศษ ที่กล่าวไปแล้วนั้น ทางทีมงาน Kin and Leisure ประทับใจ สเตชั่น seared scallop
อย่างมากเนื้อจาก เป็นหอยเชลล์ขนาดใหญ่ ทำให้เห็นกันสดๆ เสิร์ฟพร้อมซอส garlic potato และซอสลูกเกด ช่วยตัดเลี่ยน พร้อมทั้งเส้นหมี่ทอดกรอบที่ ทำให้เกิดรสสัมผัสที่แตกต่างจากความเด้งหนึบของหอยเชลล์ได้อย่างดี
1. Seafood on Ice
ที่โซนนี้เป็นสวรรค์ของคนรักซีฟู้ด ด้วยการจัดเต็มกับอาหารทะเลสดใหม่ที่นำมาวางเรียงรายอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็น หอยนางรมสด หวานฉ่ำจากทั้งฝรั่งเศสและออสเตรเลีย พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้านและเลมอนสด ปูม้า เนื้อแน่น กุ้งลายเสือ สดหวานเด้ง หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ และ หอยหวาน ที่ทานคู่กับซอสต่างๆ เช่น มายองเนสหรือค็อกเทลซอส เป็นไลน์ที่ถูกใจผู้ชื่นชอบความสดชื่นของทะเลแน่นอน
2. อาหารญี่ปุ่น
มุมอาหารญี่ปุ่นมีความโดดเด่นไม่แพ้โซนอื่นๆ กับ ซูชิและซาชิมิ คุณภาพสูงที่เชฟเตรียมให้ทานกันสดๆ ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอน ปลาฮามาจิ ทูน่า หมึกสด และ ซาบะดอง รวมถึง ข้าวปั้นหน้าไข่ปลาแซลมอน และ มากิ หลากหลายแบบ รสชาติสดใหม่และละมุนลิ้น โดดเด่นด้วยคุณภาพของวัตถุดิบและความพิถีพิถันในการเตรียมอาหาร
3. อาหารจีน
ส่วนของอาหารจีนมีหลากหลายเมนูที่น่าสนใจ เริ่มจาก ติ่มซำ ทั้ง ขนมจีบกุ้ง และ ฮะเก๋า ที่ทำสดๆ เนื้อแน่นคำใหญ่ ซาลาเปา และ สารพัดซุป อาทิ ซุปเสฉวน หรือ ผัดหมี่ฮ่องกง ที่เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี พร้อมผักและเนื้อสัตว์ที่ผัดได้กลมกล่อม ทานแล้วฟินเหมือนอยู่ในร้านอาหารจีนชื่อดัง
4. อาหารไทย
ไลน์อาหารไทยเน้นไปที่เมนูจานเด็ดที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น ส้มตำไทย ที่ตำสดๆ รสชาติแซ่บจัดจ้าน ต้มยำกุ้งน้ำข้น รสชาติถึงเครื่องเข้มข้น หอมกลิ่นตะไคร้ ใบมะกรูด และกุ้งตัวใหญ่เนื้อแน่นคูหมูย่างเลิศรส
และยังมีเมนูอย่าง แกงเขียวหวานไก่ ที่น้ำแกงเข้มข้นหอมมัน และอีกสารพัดแกงที่เป็นแกงที่ตั้งใจทำจริงๆ และทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ อีกทั้งก๊วยเตี๊ยวเนื้อวากิวและก๊วยเตี๋ยวเรือสั่งได้ตามแต่ใจต้องการ
5. อาหารอิตาเลียน
มุมอาหารอิตาเลียนก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน มีทั้ง พาสต้า ที่เลือกเส้นและซอสเองได้ ทำสดใหม่ตามใจชอบ พิซซ่าแฮนด์เมด จากเตาถ่านที่มีหน้าให้เลือกหลากหลาย กราแตรงมะเขือม่วง หรือจะเป็น ริซอตโต้เห็ด ที่หอมกลิ่นชีสและมีความครีมมี่ เนื้อข้าวนุ่มกำลังดี เมนูอาหารอิตาเลียนที่นี่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในร้านอาหารระดับไฟไดนิ่ง
6. อาหารอินเดีย
สำหรับใครที่ชอบอาหารรสจัดจ้านกลิ่นเครื่องเทศ โซนอาหารอินเดียก็มีเมนูที่ไม่ควรพลาด เช่น Chicken Tikka ไก่หมักเครื่องเทศย่างหอมกรุ่น Naan ขนมปังอินเดียทานคู่กับ แกงไก่มัสมั่น หรือ แกงถั่วเลนทิล ที่รสชาติกลมกล่อมเข้มข้น และ Samosa ของว่างทอดกรอบไส้ผักรสชาติเข้มข้น ทุกเมนูในมุมนี้มีกลิ่นหอมและรสชาติที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถัน
7. Grill Station+Western
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด มาที่ Grill Station ที่ขนเอาเนื้อและอาหารทะเลเกรดพรีเมียมมาให้เลือกสรรกัน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวากิว ย่างร้อนๆ บนเตาพาริลล่าที่มีกลิ่นหอมเย้ายวน ทานคู่กับซอสไวน์แดงหรือซอสเห็ด หรือ สเต็กเนื้อแกะ ที่เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ นอกจากนี้ยังมี หอยเชลล์ฮอกไกโด ย่างกระทะ รสชาติหวานมัน เนื้อหนา และ เนื้อส่วนอื่นๆ ย่างไฟกำลังดี ได้กลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น
ยังมีปลากะพงอบ ราดซอสดิล ปลาแซลมอนอบเนื้อเนียนหวานนุ่มได้มาตรฐาน หรือจะเป็นสเตชั่นของเนื้อเสต๊ก ที่มี wagyu และเนื้อแกะเสิร์ฟตามความสุกที่เราต้องการได้ด้วย
ห้องอาหารแห่งนี้ เมนูอาหารไทยที่ขึ้นชื่อก็จะเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ที่มีเนื้อวากิวให้เลือกด้วย และมี ปลาหมึกย่างตัวโต ราดน้ำจิ้มซีฟู้ด สำหรับ สายอาหารอินเดีย จะมีแกงเเกะ ทานคู่แป้งนาน นั้น ขอบอกว่าอร่อยมาก และเป็นแกง ที่ตัดเลี่ยนจากอาหารอย่างอื่นได้ดี เพราะแกงมีรสชาติเผ็ด จัดจ้าน
ส่วนขนมหวานที่นี่ต้องบอกเลยว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนรักของหวาน เพราะมีให้เลือกมากมายหลากหลายชนิดจนแทบไม่สามารถชิมได้ครบหมดในมื้อเดียว แน่นอนว่าไลน์ขนมหวานนี้จัดเต็มกว่า 30 เมนู เริ่มจาก โอเปร่าเค้ก ที่เลเยอร์แต่ละชั้นถูกทำออกมาอย่างประณีต ผสมผสานรสชาติของกาแฟและช็อกโกแลตเข้มข้นได้อย่างลงตัว ช็อกโกแลตนามะ เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก เคลือบผงโกโก้หอมๆ บางชิ้นถูกเสิร์ฟมาเป็นลูกกลมๆ หน้าตาสวยงาม
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบขนมหวานแนวผลไม้ ต้องไม่พลาด มิกซ์เบอร์รี่ชีสเค้ก ที่มีความเปรี้ยวอมหวานของเบอร์รี่และความหอมมันของชีสเค้ก หรือถ้าชอบขนมไทยก็มีเมนูยอดนิยมอย่าง ข้าวเหนียวมะม่วง ที่มะม่วงสุกหอมหวานถูกจับคู่กับข้าวเหนียวมูนที่นุ่มหนึบกำลังดี ราดด้วยน้ำกะทิหอมมัน ส่วนใครที่ชอบของหวานแบบดั้งเดิมอย่าง ขนมแป้งจี่ ก็สามารถหาทานได้ที่นี่เช่นกัน ด้วยรสชาติที่คงความคลาสสิกและกรอบนอกนุ่มใน
และไม่หมดแค่นี้ ยังมี ไอศกรีมหลากหลายรสชาติ ซึ่งมีการเปลี่ยนไปทุกๆ วัน โดยแต่ละวันจะมีรสชาติพิเศษมาให้ลอง ทั้งวานิลลา ช็อกโกแลต มะม่วง และอื่นๆ ที่ให้ความสดชื่นหลังทานมื้อหลักอย่างลงตัว ขนมทุกอย่างในโซนนี้ถูกตกแต่งอย่างประณีต สีสันสวยงามจนทำให้รู้สึกอยากลิ้มลองทุกรสชาติ ทุกท่านอาจจะต้องไปลองแล้ว มาคอมเม้นต์บอกกันเพิ่มเติมนะคะ สำหรับ วันนี้ ทางทีม kin and leisure ขอลาไปก่อน พบกัน โอกาสหน้า ในเดือน ตุลาคมค่า
จะจบค่ำคืนนี้แห่งการสังสรรค์ไปไม่ได้เลย หากยังไม่ได้เติมความสดชื่นด้วยแพ็คเกจเครื่องดื่มพรีเมียมไม่จำกัด ในราคาเริ่มต้นเพียง 699++ บาท
ข้อมูลสำคัญ
มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ความอร่อยไปกับอาหารประจำชาติ และอีกหลากหลายอาหารนานาชาติรสเลิศ ได้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567 นี้ที่ ห้องอาหารโกจิ คิทเช่น + บาร์
- บุฟเฟ่ต์มื้อเย็นวันจันทร์-วันพฤหัสบดี เวลา 17:30 – 22.00 น. ราคา 1,799++ บาทต่อท่าน
- บุฟเฟ่ต์มื้อเย็นวันศุกร์-วันอาทิตย์ เวลา 17:30 – 22.00 น. ราคา 2,399++ บาทต่อท่าน
- บุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันวันเสาร์ เวลา 12:00 – 14.30 น. ราคา 2,399++ บาทต่อท่าน
- บุฟเฟ่ต์บรั้นช์วันอาทิตย์ เวลา 12:00 – 14.30 น. ราคา 2,699++ บาทต่อท่าน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งโทร +66 (0) 2 059 5999 อีเมล [email protected] หรือจองผ่าน https://sevn.ly/x5OzvA90 สมาชิกแมริออท บอนวอยรับส่วนลด 10% สมัครสมาชิกฟรีคลิกเลย
หรือติดต่อเราผ่านช่องทางเหล่านี้
เว็บไซต์ www.gojikitchenbangkok.com
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/GojiKitchenAndBar/
หรือเพิ่มเราเป็นเพื่อนในไลน์ @gojikitchenbar
Kin Review
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์
รูปและเนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของทาง Kinandleisure.com ไม่อนุญาตให้นำไปใช้จนกว่าจะได้รับการอนุญาตจากทางผู้บริหาร หากฝ่าฝืนผู้บริหารพร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด
Oktoberfest buffet Goji Kitchen+ Bar, Marriott Marquis Queen’s Park