Story : Nutthawat J. / Photo : Pol.Capt. Kittin A
สัมผัสรสชาติอิตาเลียนร่วมสมัย วิวเลิศร้านสวย เติมเต็มทุกค่ำคืนของท่านให้ลงตัวด้วยเทคนิคปรุงระดับโลกจากเชฟที่กวาดดาวมิชลินมากว่า 11 ดวง กับ Sartoria by Paulo Airaudo
สวัสดีครับท่านผู้รักในการรับประทานอาหารอร่อยทุกท่าน วันนี้พวกเราทีมงาน Kinandleisure ก็มีสุดยอดร้านอาหารที่การันตีได้ว่าจะสร้างความประทับใจให้กับทุกท่านได้อีกเช่นเคยครับ โดยคราวนี้เป็นร้านอาหารที่ต้องขอบอกก่อนว่าจะต้องถูกใจสายอาหารอิตาเลียนที่หลงใหลในรสชาติโดดเด่นและเทคนิคการปรุงอาหารที่พิถีพิถันอย่าง ซึ่งพวกเราขอบอกเลยว่าร้านที่คนรักอาหารสไตล์นี้ไม่ควรพลาดก็คือ Sartoria by Paulo Airaudo ร้านไฟน์ไดนิ่งสุดพรีเมียมที่ตั้งใจจะมอบประสบการณ์ “Modern Italian Dining” ในรูปแบบเฉพาะตัวที่รังสรรค์เชฟ Paulo Airaudo

ซึ่งเป็นเชฟระดับโลกที่เคยฝากฝีมือไว้ทั้งในยุโรปและเอเชีย การันตีด้วยประสบการณ์ด้านอาหารอิตาเลียนร่วมสมัยและร้านอาหารที่เคยประดับดาวมิชลินอันทรงคุณมาแล้วหลายดวง โดยพวกเราจะขอเชิญทุกท่านไปเจาะลึกทั้งเมนู บรรยากาศ การบริการ และประสบการณ์อันน่าประทับใจอย่างไร้ที่ติจากร้าน Sartoria by Paulo Airaudo แบบละเอียดยิบ บอกเลยว่าหลังอ่านจบแล้วคุณอาจจะต้องรีบจองโต๊ะกันเลยครับ !
ทำความรู้จักเชฟ Paulo Airaudo

ก่อนจะพาทุกคนเข้าสู่โลกของอาหารจากครัวของร้าน Sartoria จะขออนุญาตเกริ่นนำถึงเชฟผู้อยู่เบื้องหลังก่อนสักนิด โดยเชฟ Paulo Airaudo เป็นสุดยอดเชฟสัญชาติอาร์เจนตินา ผู้สร้างชื่อจากการปรุงอาหารในสไตล์อิตาเลียนโมเดิร์น ผสมผสานประสบการณ์ที่ได้สั่งสมจากการรังสรรค์รสชาติในเมืองอาหารชื่อดังของโลกอย่างซาน เซบาสเตียน

รวมถึงผ่านการทำงานในร้านระดับมิชลินสตาร์มาแล้วมากมาย อาหารอิตาเลียนของเชฟมีการพัฒนาสู่รูปแบบใหม่ที่แฝงเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ยังคงรากฐานรสชาติอิตาเลียนแท้ๆ ให้คงอยู่ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งเชฟมีชื่อเสียงในด้านการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด มาปรุงด้วยเทคนิคระดับไฟน์ไดนิ่ง ผสมผสานเครื่องปรุงตามฤดูกาลให้เกิดเมนูใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ

Location

ร้าน Sartoria ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของตึกเอมไพร์ทาวเวอร์ สาธร เวลาเดินทางมาสามารถเดินทางมาได้ดูสะดวกโดยรถยนต์ รวมถึงระบบขนส่งมวลชนเช่นรถไฟฟ้าก็สะดวกไม่แพ้กัน

แต่ขออนุญาตกระซิบบอกนิดนึงว่า ควรเผื่อเวลาและเผื่อใจสำหรับสภาพการจราจรระหว่างการเดินทางด้วยครับ เพราะเป็นย่านเศรษฐกิจที่พลุกพล่านและรถมักจะติดอยู่เสมอในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน แต่ขอบอกเลยว่าคุ้มค่าแน่นอนเมื่อได้มารับประทานอาหารที่สุดยอดห้องอาหารแห่งนี้

เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาในร้าน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นอายของความโมเดิร์นและหรูหรา แต่ไม่อึดอัดจนเกินไป ห้องอาหาร Satoria มีดีไซน์โดดเด่นตามแรงบันดาลใจของชื่อร้าน ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “การตัดเย็บ” เพราะฉะนั้นร้านนี้เลยมีสไตล์การตกแต่งอย่างได้รับแรงบันดาลใจมาจากห้องตัดเย็บห้องแรกที่ฟลอเรน

มีการใช้สีคลาสลิก และแฝงไปด้วยความประณีต ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งตลอดไปจนการทำอาหารและบริการ ที่จะต้องประณีตไร้ที่ติไปตั้งแต่จานแรกจนถึงจานสุดท้าย แสงสว่างจากโคมไฟดีไซน์ร่วมสมัยช่วยขับเน้นบรรยากาศ ยิ่งในช่วงกลางวัน แสงธรรมชาติที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ก็ทำให้เรารู้สึกโปร่งโล่งสบาย

การจัดโต๊ะในร้านเว้นระยะห่างเหมาะสม พอให้ลูกค้าได้พูดคุยกันแบบเป็นส่วนตัว ไม่ต้องกลัวเสียงดังรบกวนโต๊ะข้าง ๆ โซนที่นั่งที่ติดกับครัวแบบเปิด (Open Kitchen) ก็น่าสนใจมาก เพราะเราสามารถเห็นเชฟและทีมทำงาน ลงมือปรุงจานอาหารแบบสดใหม่

แค่ได้เห็นสเตชันเตรียมอาหารและขั้นตอนการตกแต่งจานอย่างประณีต ก็เป็นอีกหนึ่งความเพลิดเพลินที่เสริมอรรถรสขณะรออาหารได้ดีทีเดียว และพื้นตรงโซนไวน์บาร์ ได้รับการออกแบบให้คล้ายกับลักษณะพื้นของมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ นอกจากนี้ ระยะทางจากเคาเตอร์มาถึงห้องอาหาร จะมีการออกแบบทรวดทรงแบบโค้งเว้า เพิ่มกลิ่นอายของความเป็นห้องเสื้อที่แฝงไปด้วยความประณีต

บรรยากาศในร้านถูกออกแบบให้มีความเรียบหรู ทันสมัย และเปิดโอกาสให้เราได้เห็นการทำงานของเชฟกับทีมอย่างใกล้ชิด หากคุณชอบประสบการณ์แบบ “ครัวเปิด” ที่ทำให้การนั่งรออาหารเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและแรงบันดาลใจ รับรองว่าจะประทับใจกับกลิ่นอายของครัวที่ส่งตรงถึงโต๊ะอาหารอย่างแน่นอน

ในส่วนของเมนูอาหารนั้น เชฟจะเน้นการคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล และหยิบเทคนิคการปรุงระดับสูงมาหลอมรวมเข้ากับรสชาติแบบอิตาเลียนคลาสสิก รสชาติของอาหารทุกจานจึงบอกเล่าเรื่องราวของเชฟและแหล่งที่มาของวัตถุดิบอย่างลุ่มลึก การบริการก็อยู่ในเกณฑ์ไร้ที่ติ เราจะได้เห็นวัตถุดิบที่เราจะรับประทานก่อนเริ่มมื้ออาหารแบบจริงๆ รวมถึงได้เห็นวิธีการทำแบบเต็มตา เพราะเชฟในร้านล้วนผ่านการเทรนนิ่งมาเพื่อแนะนำเมนูและไวน์แพร์ริ่งได้เป็นอย่างดี

ตลอดจนใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกอบอุ่นและไม่เคอะเขิน ราคาของมื้ออาหารอยู่ในระดับไฟน์ไดนิ่งที่อาจสูงสักหน่อย แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับ ซึ่งรวมถึงการได้นั่งชมศิลปะการปรุงและการนำเสนอจานอาหารอย่างสร้างสรรค์ ก็นับว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์จริงๆ ครับ

Menu

Sartoria by Paulo Airaudo นำเสนออาหารอิตาเลียนสมัยใหม่ โดยยังคงแก่นรสชาติแบบคลาสสิก แต่ปรับรูปแบบการเสิร์ฟและการเลือกใช้วัตถุดิบให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน ซึ่งทุกจานจะมีความพิถีพิถันในระดับไฟน์ไดนิ่ง จุดเด่นคือการเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล ทำให้เมนูหมุนเวียนเปลี่ยนไปเสมอ เพื่อคงความสดใหม่และหลีกเลี่ยงความจำเจ และไม่ว่าจะเป็นเมนูไหน ฤดูกาลอะไร ก็จะคงไปด้วยคุณภาพระดับสูงสุดที่จะสร้างความประทับใจให้ท่านได้เสมอ

โดยเมนูที่ได้รับประทานในรอบนี้ จะเป็นรอบวัตถุดิบที่มีไฮไลต์ที่หน่อไม้ฝรั่งขาวสายพันธุ์พิเศษ ซึ่งต้องปลูกและเก็บเกี่ยวด้วยเทคนิคพิเศษเพื่อรักษาความขาวและให้รสชาติหวานละมุน นอกจากนี้ยังมีหน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน หัวไชเท้าแตงโม อาร์ติโชกเยรูซาเลม (แก่นตะวัน) เฟนเนล วานิลลา และหอมและผักต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีผลไม้หลายชนิดตามฤดูกาล ทั้งเลมอนลูกโต แอปเปิ้ล มะนาว ทั้งมะนาวนิ้วมือและมะกรูด ส้มจากซิซิลี อามัลฟีเลมอน ส้มยูซุจากญี่ปุ่น ส้มจี๊ดจากไทย ส้มมือหรือ budda hand ลูกพลัม ดอกดาหลา ถั่วลันเตา

โดยในรอบนี้ วัตถุดิบต่าง ๆ ส่วนมากมาจากญี่ปุ่น เช่นเดียวกับโปรตีน ที่รอบนี้จะเป็นปลา มีคิเมได มีความนุ่มและรสชาติหวานมัน ฮามาจิ คูโด และมี Carabineros หรือกุ้งสเปนอันน่าตื่นตา หอยเป๋าฮื้อจากเกาหลี หอยเชลล์ฮอกไกโด นอกจากนี้ ร้านยังใช้วัตถุล้ำค่า อย่างคาเวียร์ โดยใช้แบรนด์ Kaviari ซึ่งเป็นคาเวียร์
ระดับไฮเอนด์สัญชาติฝรั่งเศส เม็ดไข่ปลาสีเทาเข้ม มันวาว รสชาตินุ่มนวล มีความเค็มและมันกำลังดี

และยังมี Black Winter Truffle จากอิตาลี นอกจากนี้ ยังมี บัลซามิก (Balsamic Vinegar) จากผู้ผลิตชื่อดังในเมืองโนเวลลารา แคว้นเรจจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia) ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นภูมิภาคต้นกำเนิดของบัลซามิกคุณภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยทั่วไป บัลซามิกจาก Acetaia San Giacomo จะมีความเข้มข้น หวานหอม และมีรสเปรี้ยวที่นุ่มนวลกว่าบัลซามิกทั่วไป เนื่องจากกระบวนการหมักที่พิถีพิถันและใช้เวลานาน โดยในขวดนี้มีอายุ 40 ปี

Consommé

ถ้วยนี้มีความโดดเด่นที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่น ผสานกับเทคนิคแบบตะวันตกอย่างลงตัว เริ่มจากการใช้ ดาชิ เป็นเบสหลัก ทำให้ได้รสอูมามิจากคอมบุอย่างชัดเจน จากนั้นจึงผ่านการ Clarify ให้น้ำซุปใสสะอาดตามสไตล์คอนซูเม่แต่คงไว้ด้วยความลุ่มลึกของรสชาติ ถัดมาจะได้กลิ่นหอมสดชื่นของ ส้มมือ เลม่อน และวานิลลา ที่นำมาแต่งน้ำมันบาง ๆ ลอยหน้า พร้อมแก่นตะวัน หรือ Jerusalem Artichoke เพื่อเพิ่มมิติหอมมันอ่อน ๆ สัมผัสรวมให้ความรู้สึก “เบา” แต่ซับซ้อน ด้วยการรวบรวมกลิ่นรสจากทางฝั่งเอเชีย (ดาชิ, คอมบุ, ส้มมือ) และตะวันตก (เทคนิค Clarify, วานิลลา) ไว้ในถ้วยเดียว พอซดแล้วจะได้ทั้งความหวานหอมและความเค็มบาง ๆ อย่างมีเอกลักษณ์ เป็นซุปเริ่มต้นที่ให้ความรู้สึกน่าหลงไหลอย่างที่สุด
Snacks

เชฟให้ลองชิมของเรียกน้ำย่อย โดยคำเล็กคำนี้ซ่อนความอร่อยไว้เต็มเปี่ยมโดยมี ยูซุเจลลี่ เป็นตัวนำรสเปรี้ยวหอมสดชื่นอยู่ด้านล่าง เติมความหวานในมิติที่แตกต่างด้วย ปูหิมะ เนื้อแน่นชุ่มฉ่ำ และ เมล็ดถั่วลันเตา สีเขียวสดกรุบกรอบที่วางเป็นชั้นสวยงาม ในขณะที่กลิ่นหอมละมุนอ่อน ๆ จากการใช้ถ่าน บินโจตัน ก็ช่วยเสริมให้รสชาติยิ่งเด่นชัดขึ้น ราวกับดึงธรรมชาติของแต่ละวัตถุดิบออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ของว่างคำนี้เป็นการเรียกน้ำย่อยที่ลงตัว เป็นการเริ่มต้นการชิมอาหารที่เปี่ยมสุขตั้งแต่คำแรก

UNI and ABALONE

จานนี้โดดเด่นด้วยวัตถุดิบทะเลและน้ำซุปที่รังสรรค์ขึ้นอย่างประณีต เริ่มจาก หอยเป่าฮื้อ เนื้อนุ่มอ่อนละมุนเคี้ยวสนุก วางคู่กับ บัฟฟุนอูนิ หรือไข่หอยเม่นสายพันธุ์พรีเมียมที่มีเนื้อครีมเข้มข้นและรสหวานตามธรรมชาติ เติมความหอมสดชื่นด้วย ต้นหอม และ ใบคิโนเมะ (Kinome)

ที่ให้กลิ่นคล้ายเครื่องเทศอ่อน ๆ สไตล์ญี่ปุ่น ส่วนตัวน้ำซุปปรุงแบบ Consommé ซึ่งผสมผสานระหว่าง หมู และ Smoked Mackerel ต้มเคี่ยวจนได้รสชาติแน่นลึก กรองจนใสสะอาด

เมื่อตักซุปขึ้นมาคลุกเคล้ากับหอยเป่าฮื้อและอูนิในคำเดียวกัน จะได้สัมผัสความกลมกล่อมของน้ำซุปเค็มหวานอ่อน ๆ ทะลุผ่านความมันนุ่มของอูนิและหอยเป่าฮื้ออย่างล้ำลึก ด้านล่างเป็น egg custard ให้ความรู้สึกนุ่มละมุนลิ้น เป็นเหมือนไข่ตุ๋นญี่ปุ่น

Bread

Grissini หอมกลิ่นน้ำมันโรสแมรี และฟองกาเซียหอมกรุ่นอบพร้อมกับโอลีฟลาโน (Olive Lano) และมะเขือเทศ ที่แผ่กลิ่นหอมโดดเด่นทั่วเนื้อขนมปัง และยังมีขนมปัง Sourdough หอมกรุ่นเสิร์ฟพร้อมน้ำมันมะกอก

Mortadella

โคนไอศกรีม แต่แท้จริงแล้วภายในบรรจุ มูสที่ทำจาก Cold Cut ปั่น จนเนื้อเนียนละเอียด มอบรสชาติเค็มมันอ่อน ๆ ของเนื้อสัตว์หมักเค็มแบบชั้นดี เมื่อกัดลงไปจะสัมผัสได้ถึงความกรอบบางของแป้งโคนและความนุ่มละมุนของมูสด้านใน

ผสานกลิ่นหอมที่แฝงมาในชั้นเนื้อ ด้านบนยังประดับด้วยถั่วพิสตาชิโอ ช่วยเพิ่มรสสัมผัส เสริมเท็กซ์เจอร์เคี้ยวเพลินและให้รสชาติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้เมนูนี้กลายเป็นของว่างเรียกน้ำย่อยสุดครีเอทีฟ

Hamachi

ดอกไม้สุดงดงามจานนี้นำเสนอความสดใหม่ของปลาฮามาจิชิ้นบางเรียงซ้อนกันอย่างประณีต วางซ้อนด้วตัวหัวไชเท้าแตงโมสีชมพูสดใสที่ยังคงความกรอบเพื่อสร้างเท็กซ์เจอร์สนุก ๆ เมื่อนำไปเคี่ยวและหมักกับซอสเบสที่ผสมผสาน kohlrabi essence กับ kombu oil ยิ่งเสริมกลิ่นอายของท้องทะเลแบบญี่ปุ่นให้เด่นชัดขึ้นไปอีกขั้น

พร้อมตกแต่งด้านบนด้วยสาหร่ายพวงองุ่นจากไทย ช่วยเติมความเค็มและความแตกเป๊าะแป๊ะในปาก เมื่อทานรวมกันจะได้รสละมุนของปลาฮามาจิ ความกรุบของหัวไชเท้า และความเค็มหวานอ่อน ๆ จากสาหร่ายผสานกันอย่างกลมกล่อม เป็นเมนูที่ทั้งหน้าตาสวยชวนหลงใหล และรสชาติยังลงตัวในทุกคำ

Duck Cappelletti

เป็นการผสมผสานศิลปะการทำพาสต้าสไตล์อิตาเลียนกับความเข้มข้นของรสชาติเป็ดได้อย่างลงตัว ตัวแป้งพาสต้าเนื้อบางโอบอุ้มเป็ดส่วนขาที่ผ่านการกงฟี จนเนื้อนุ่มและรสกลมกล่อม เคี่ยวช้า ๆ ในน้ำมันและเครื่องเทศต่าง ๆ จนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบไธม์ ผสานเข้ากับรสเป็ดที่แน่นและละลายในปาก เมื่อปรุงเสร็จจึงนำมาคลุกเคล้ากับซอสเนื้อครีมเข้มข้น ก่อนตบท้ายด้วย ซอสดาร์กรู (Dark Roux) ราดบนตัวพาสต้าเพิ่มเลเยอร์รสชาติที่เข้มและล้ำลึกขึ้นไปอีกขั้น ความนุ่มของเป็ดและความหนึบของแป้งคาเปลเล็ตติเข้ากับกลิ่นสดชื่นของไธม์ได้พอดิบพอดี สร้างมิติแห่งความอร่อยที่ทั้งหอมมันและหวานเค็มลงตัว จึงเป็นอีกจานไฮไลต์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการหลอมรวมวิธีปรุงอาหารชั้นสูงกับเสน่ห์รสชาติสไตล์อิตาเลียนแท้ ๆ

Risotto Carabinero

รีซอตโต้สีเขียวมรกตอันงดงามจานนี้สะท้อนกลิ่นอายเมดิเตอร์เรเนียนที่ผสานความเป็นเอเชียได้อย่างน่าประทับใจ เริ่มจาก เนื้อข้าวอาร์โบริโอ เคี่ยวอย่างพิถีพิถันในน้ำสต๊อกจนได้ความหนึบและความมันเนียมกลมกล่อมและหอมกรุ่น และมีการใช่พาร์เมซานชีส เนย และพาร์สลีย์ ที่ให้สีเขียวสดสวยไปพร้อมกับเสริมรสชาติเข้มข้นละมุนลิ้น ตกแต่งด้วยโปรตีนหลักคือกุ้งแดงสเปน (Carabinero) สุดล้ำค่าที่มีเนื้อฉ่ำหวานอมเค็มเล็ก ๆ เสิร์ฟแบบสดๆ มีสีแดงเด่นชัด

เพิ่มความสดชื่นของรสเปรี้ยวหวานด้วย คัมควอต และเม็ดยูซุเจล เล็ก ๆ แต่งแต้มให้ความหอมละมุนอมเปรี้ยวตัดกับชีสและเนยได้อย่างลงตัว เมื่อรวมกันแล้วทุกองค์ประกอบกลับผสานรสชาติเป็นหนึ่งเดียว สร้างรีซอตโต้จานที่ดูเรียบง่ายแต่ซับซ้อนในรสสัมผัส เหมาะจะเป็นจานไฮไลต์ของมื้อพิเศษเป็นอย่างยิ่ง รสชาติเข้มมัน กลมกล่อมแต่ไม่เลี่ยนเพราะมีความเปรี้ยวจากยูซุช่วยทำให้ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด เป็นจานที่ผมชอบที่สุดครับ
Kimedai

จานนี้โดดเด่นตั้งแต่เทคนิค การดรายเอจ (Dry Aged) ที่ช่วยให้เนื้อแน่นและรสชาติเข้มข้นขึ้น ก่อนจะนำไปย่างจนผิวด้านบนเป็นสีทองกรอบสวย ด้านข้างจับคู่กับหอมแดงรสเปรี้ยวสดชื่นและข้าวโพดย่าง ที่ให้ความหอมอ่อน ๆ อีกทั้งยังมี Mascarpone Purée เนื้อเนียนละมุนอยู่ใต้ชิ้นปลา

ควบคู่กับแต้ม Black Garlic เพิ่มรสสัมผัสให้ลุ่มลึกชวนค้นหา ก่อนจะราดด้วย แชมเปญซอส ที่มีความครีมมี่ออกหวานแต่ไม่หนักจนเกินไป ช่วยยกระดับรสชาติของทุกองค์ประกอบให้กลมกล่อม และให้รสสัมผัสสุดหรูหราอย่างแท้จริง

ต่อด้วย Pallate Cleanser ที่ผสมผสานสมุนไพรและวัตถุดิบไทยเข้ากับเทคนิคโมเดิร์นได้อย่างลงตัว เริ่มจากการนำ ตะไคร้ กับ ข่า มาทำเป็นกรานิต้าเย็นฉ่ำ ให้กลิ่นหอมและรสสะอาดสดชื่น

ในขณะเดียวกันก็มี เจลลี่มะพร้าวผสมใบโหระพา แทรกอยู่ระหว่างชั้น เนื้อสัมผัสหนึบเบา ๆ และกลิ่นโหระพาละมุนตัดกับความเปรี้ยวเล็ก ๆ ของสมุนไพรได้อย่างพอดี ด้านบนตกแต่งด้วย มะพร้าวขูดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความมันและกลิ่นหอมชวนให้นึกถึงความเป็นไทย จึงถือเป็นจานที่สร้างความสดชื่นและเตรียมลิ้นสำหรับเข้าสู่เมนูของหวานได้เป็นอย่างดี

The Apple

จานของหวานจานหลักนี้ชวนให้ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ด้วยการจัดวางในชามสีขาวกว้างที่เผยให้เห็นส่วนประกอบเล็ก ๆ แสนน่ารักอยู่ตรงกลาง เริ่มจากตัวโฟมจากแอปเปิ้ล เนื้อฟูละมุนเมื่อสัมผัสลิ้น ผสานเข้ากับคาราเมลจากแอปเปิ้ลที่อบอวลด้วยความหอมและรสหวานอมเปรี้ยวของแอปเปิ้ล

อีกทั้งยังมี caramel ice cream ที่ถูกซอเต้ให้ยิ่งเน้นกลิ่นหวานไหม้นิด ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ ก่อนเพิ่มมิติด้วยเมล็ดไพน์นัทที่เพิ่มรสสัมผัส พร้อม black lemon powder และ apple crispy สอดแทรกความกรุบกรอบแสนเพลิน ปิดท้ายด้วยการหยด บัลซามิกอายุ 40 ปี ที่เข้มข้นจนเกิดรสหวานกลมกล่อมผสานความเป็นกรดเบา ๆ ชูทุกส่วนผสมให้ส่งเสริมกันอย่างลงตัว ไม่หวานจนเกินไป และเป็นความหวานที่มีมิติ

Petit Four
เซ็ตขนม Petit Four ที่เห็นตรงหน้านี้อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดและไอเดียอันสร้างสรรค์ในคำเล็ก ๆ แต่ละชิ้นล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เริ่มต้นด้วย Raspberry Marshmallow เนื้อนุ่มที่มีกลิ่นและรสชาติเปรี้ยวอมหวานของราสป์เบอร์รี ตกแต่งด้านบนด้วยมะพร้าวขูดเพิ่มความหอมมัน

จากนั้นตามด้วย ชู (Choux) เนื้อบางแต่กรอบนอกพองฟู ภายในบรรจุครีมกานาชรสบานานาและเจลยูซุที่ผสานรสหวานของกล้วยกับกลิ่นซิตรัสแสนละมุนไว้อย่างกลมกล่อม

ส่วนชิ้นสีฟ้าคือ ชอกโกแลตพาร์รีน (Chocolate Praline) ที่ซ่อนรสชาติของชาไทยเข้มข้นและดาร์กชอกโกแลตเอาไว้ในคำเดียวกัน สร้างความรู้สึกทั้งขมอมหวานและหอมกลิ่นชาไทยเป็นเอกลักษณ์

สุดท้ายที่ถือเป็นไฮไลต์เรียกความสนใจได้ทันทีคือ วิสกี้กัมม์รูปทรง Darth Vader ที่สอดไส้กลิ่นอายของวิสกี้ไว้ในรูปแบบเจลลี่ใส เคี้ยวเพลิน เสริมความสนุกด้วยเลม่อนชูการ์ที่ซ่อนอยู่ด้านล่าง ให้ความเปรี้ยวอมหวานมาช่วยตัดรสของวิสกี้ได้พอดิบพอดี เมื่อทั้งสี่ชิ้นวางรวมกันบนจาน เสมือนการเล่าเรื่องราวแห่งรสชาติและสัมผัสหลายมิติ ที่ผสมผสานความหวานหอม ผลไม้ ช็อกโกแลต และกลิ่นแอลกอฮอล์สุดละเมียดไว้ในคำเล็ก ๆ อย่างมีศิลปะและทวิสต์สนุก ๆ ตามแบบไฟน์ไดนิ่งสมัยใหม่ชนิดต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเลยทีเดียว ประทับใจอย่างมากครับ
Wine & Mocktail
François et Julien Pinon Brut 2019, Vouvray (Loire Valley, France)

สปาร์กลิงไวน์จากเขต Vouvray ซึ่งขึ้นชื่อเรื่ององุ่น Chenin Blanc เป็นหลัก เกิดเป็นไวน์สไตล์บรุต (Brut) ที่มีความซ่า
อย่างพอเหมาะและบับเบิลละเอียด มักให้กลิ่นผลไม้เนื้อขาว แฝงกลิ่นน้ำผึ้งบาง ๆ และดอกไม้ เช่น ดอกอะคาเซีย รสชาติสดชื่น มีมิติของความหวานปลายลิ้นเล็กน้อยออกกลิ่นดอกไม้ พร้อมความเป็นกรดที่ลงตัว สร้างบาลานซ์ให้ไวน์มีชีวิตชีวา เหมาะจับคู่กับเมนูอาหารทะเลสด ๆ เช่น หอยนางรม ปลาดิบ หรืออาหารทานเล่นที่มีรสชาติเบา ๆ เพื่อดึงเสน่ห์ของฟองไวน์ออกมาให้เต็มที่และหมดจดงดงาม

Grace Wine Gris de Koshu 2023 (Yamanashi, Japan)

ไวน์ขวดนี้ผลิตจากองุ่นพันธุ์ Koshu ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะแถบยามานาชิที่มีประวัติด้านการปลูกองุ่นมายาวนาน โดดเด่นด้วยสีเหลืองอ่อนใสและมีความโปร่งแสงในตัว กลิ่นหอมของผลไม้เนื้อขาวอย่างแอปเปิลหรือแพร์ผสานกับโทนดอกไม้ป่าจาง ๆ และอาจสัมผัสความเป็นแร่ธาตุได้ชัดบนปลายจมูก รสชาติให้ความรู้สึกสดชื่น มีความเป็นกรดค่อนข้างสมดุล ไม่เปรี้ยวจนเกินไป จึงดื่มง่ายและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับทานคู่กับเมนูปลาดิบ สลัดเบา ๆ หรืออาหารเรียกน้ำย่อยสไตล์เอเชีย ถือเป็นไวน์ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นและยังแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นสามารถผลิตไวน์ขาวดี ๆ ได้เทียบเท่าตะวันตก และยังเป็นไวน์ที่สถานทูตญี่ปุ่นเลือกใช้อีกด้วย

Lunae Colli di Luni Vermentino (Liguria, Italy)

ไวน์จากสายพันธุ์ Vermentino ตัวท็อปในแถบลิกูเรีย ซึ่งเป็นภูมิภาคติดชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของอิตาลี สีของไวน์มักออกเหลืองฟางใส สะท้อนความสดชื่น กลิ่นบนจมูกมีทั้งผลไม้ตระกูลซิตรัส ผสมกับอโรมาแบบสมุนไพรเมดิเตอร์เรเนียน (โรสแมรี่หรือไธม์อ่อน ๆ) เสริมด้วยกลิ่นของดอกไม้สีขาว เมื่อจิบแล้วจะพบว่ามีความเป็นกรดกำลังดี ควบคู่กับเนื้อสัมผัสบางเบา ดื่มแล้วไม่หนักลิ้น
Limoncello Spritz

เป็นซิกเนเจอร์ค็อกเทลของทางร้านที่มีการเพิ่มความแปลกใหม่ลงไป ไม่ว่าจะเป็นการใส่ใบสมุนไพรสดและผสมชาเอิร์ลเกรย์ลงไปในสูตรด้วย โดยประกอบด้วยลิโมเชลโล ให้ความหอมหวานของเลมอน รสซ่าของโซดาและโปรเซคโก ทำให้สดชื่น และอาจอมาโร เพื่อเสริมมิติรสขมสมุนไพร เมื่อจิบแล้วจะได้ความเปรี้ยวอมหวานจากเลมอน สัมผัสฟองบาง ๆ จากโปรเซคโก และกลิ่นหอมทีละเล็กทีละน้อยของชา เป็นค็อกเทลจิบเพลินที่ทั้งสีสันสวยงาม ออกสว่างสดชื่น และมีกลิ่นอายสมุนไพรอย่างลงตัว
La Dolce Vita

แก้วนี้เป็นม็อกเทลที่ผสานความหวานหอมแบบเขตร้อนที่ผสมความหวานจากสัปปะรดเข้ากับความซ่าของโทนิกและโซดา จนเกิดความสดชื่นแบบลงตัว โดยมีไซรัปที่ทำจากโปยกั๊กเป็นตัวชูรสและกลิ่นหอมเครื่องเทศเบา ๆ ซึ่งเป็นสิ่งน่าแปลกตาและเพิ่มความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ด้านบนตกแต่งด้วยดอกโปยกั๊กให้รู้ถึงวัตถุดิบที่ชงขึ้นมา เสริมเสน่ห์และสร้างสัมผัสสายตาที่สวยแปลกตา
จบกันไปแล้วกับประสบการณ์อาหารอันน่าประทับใจจากร้านของสุดยอดเชฟดีกรีระดับประดับดาวมิชลิน ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่ของบอกเลยว่าจะไปทานอีกครั้งอย่างแน่นอน เพราะประสบการณ์ในครั้งนี้สร้างความประทับใจให้กับพวกเราอย่างที่สุด โดยหากท่านใดกำลังมองหาร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียม เพื่อโอกาสพิเศษกับคนพิเศษ หรืออยากเปิดประสบการณ์การทานอาหารอิตาเลียนที่สุดล้ำ เปี่ยมด้วยไอเดียและความคิดสร้างสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศ ขอแนะนำว่าต้องลองมาที่ร้าน Sartoria by Paulo Airaudo สักครั้ง รับรองว่าคุณจะได้สัมผัสความพิเศษตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าร้าน ไปจนถึงคำสุดท้ายที่ตักเข้าปาก และเชื่อว่าจะอยากกลับมาอีกแน่นอน ซึ่งเมนูของทางร้านมีเสิร์ฟในหลายราคา มีทั้ง Tasting Menu (คอร์สชิม) À la carte Menu และมี Add-ons ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติม เช่น เห็ดทรัฟเฟิล คาเวียร์ ชีส และบริการ Wine pairing ( 2,100 บาท ต่อ 3 แก้ว หรือ 3,800 บาท ต่อ 6 แก้ว) นอกจากนี้ ยังมี คอร์สเล็ก เป็น 2 คอร์สเมนู ในราคา 2,698 บาท และคอร์สแบบ 6 จาน ราคา 3,980 บาท หรือคอร์สแบบ 8 จาน ราคา 5,980 บาท โดยร้านเปิดตั้งแต่วันอังคาร – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.30 น. สามารถติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ 02 407 1654
Kin Review
Sartoria by Paulo Airaudo
Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์ สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง Kinandleisure.com กินแอนเลเชอร์