ตอนนี้ถ้าพูดถึงร้านอาหารหรือบาร์บนรูฟท็อป หลายคนคงนึกถึงร้าน SEEN Restaurant & Bar Bangkok ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 26 และ 27 ของโรงแรม Avani+ Riverside Bangkok ที่เพิ่งแกรนด์โอเพนนิ่งไปอย่างอลังการเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา
โดยมีเหล่าเซเลบริตี้และไฮโซชื่อดังมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
SEEN Restaurant & Bar Bangkok เป็นร้านอาหารในเครือโรงแรม Avani ซึ่งเปิดเป็นสาขาแรกของเอเชีย และเป็นสาขาที่สามของโลก หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาแล้วกับสองสาขาแรกที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล และที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยมีเซเลบริตี้เชฟชื่อดังอย่าง Olivier Da Costa เป็นผู้รังสรรค์เมนูสุดพิเศษมาเพื่อห้องอาหารบนรูฟท็อปทั้งสามแห่งนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งในสาขากรุงเทพนั้น นอกจากจะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นอาหารนานาชาติกับเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอาหารตามแบบฉบับของ SEEN แล้ว เชฟ Olivier ยังได้ดึงเอาความเป็นอาหารท้องถิ่น ความสดใหม่ และรสชาติแบบไทย ๆ มารวมไว้อีกด้วย
SEEN Restaurant & Bar Bangkok ได้รับการออกแบบและตกแต่งโดย M&J London ด้วยสไตล์ Art Deco ในยุค 80’s ซึ่งเน้นไปที่การใช้ลายเส้นแบบ Geometric และใช้โทนสีหลัก คือ ดำและทอง ให้ความรู้สึกหรูหรา และทันสมัย ผสมผสานกับเอกลักษณ์ความเป็นท้องถิ่นของประเทศไทย โดยเลือกใช้วัสดุตกแต่งเป็นไม้ไผ่ เน้นรูปทรงโค้งมน ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลไม่เคยหยุดนิ่ง
โดยภายในร้านจะมีทั้งโซน outdoor ให้นั่งแฮงค์เอาท์กับเพื่อน ๆ รับลมสบาย ๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อเนื่องไปยังส่วนที่เป็นบาร์ สามารถชมลีลาของบาร์เทนเดอร์ได้อย่างใกล้ชิด หรือจะเลือกนั่งในโซน Indoor ที่มีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นก็ได้ ส่วนชั้น 27 จะเป็น rooftop bar สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมที่นั่งแบบเดย์เบด ให้สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างไร้ขอบเขต
แต่ไม่ว่าจะอยู่ชั้น 26 หรือชั้น 27 ก็ตาม ก็สามารถชื่นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ร้านได้ตั้งแต่วิวในเมืองอย่างสาทร สีลม ASIATIQUE The Riverfront เลาะริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรื่อย ๆ ถึงสะพานกรุงเทพ ผ่านคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนกระทั่งถึงสะพานภูมิพล และบางกระเจ้า เลยทีเดียว
ในวันนี้กินแหลกแจกดาว kinlakestars ได้รับเชิญมาที่ร้านทั้งที จึงต้องมีความพิเศษซักหน่อย โดยทางร้านได้นำเสนอแคมเปญพิเศษที่เรียกว่า Dare to Pair โดยจะเป็นการแพริ่งอาหารกับค็อกเทล ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยเชฟหนุ่มดาวรุ่ง Alexandre Castaldi เชฟชาวฝรั่งเศสที่มีประสบการณ์การทำงานในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ในหลายประเทศ
ซึ่งแต่ละเมนูที่คิดขึ้นได้ผ่านการ approve จากเชฟ Olivier Da Costa มาแล้วทั้งสิ้น ส่วนค็อกเทล จะมี Head Mixologist คือ Mochammad Fadli ซึ่งมีรางวัลระดับโลกการันตีฝีมือมากมาย เป็นผู้คิดค้น เมื่อสุดยอดฝีมือทั้งสองด้านมาร่วมกันรังสรรค์เมนูอาหารและค็อกเทลจับคู่กัน ความพิเศษจะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลยครับ
เริ่มต้นด้วย Starter
SMOKED YELLOWFIN TUNA TARTAR
เป็นทูน่าทาร์ทาร์ที่มีความพิเศษคือ เวลาเสิร์ฟจะมีครอบแก้วที่อบอวลไปด้วยควันจากไม้อยู่ภายใน เวลาจะทานก็จะต้องเปิดครอบแก้วออก ควันที่อยู่ภายในก็จะค่อย ๆ ลอยออกมา เป็นกิมมิกที่ช่วยเพิ่มทั้งความหอม และความสวยงาม ชวนให้ถ่ายรูปหรือคลิปวีดีโอลงโซเชียลมีเดียให้เพื่อน ๆ อิจฉาเล่นได้เป็นอย่างดี ในส่วนของวัตถุดิบหลักจะเป็นทูน่าครีบเหลืองที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ มีความสดมาก เนื้อแน่นเหนียวนุ่ม ผสมกับปลาไหลย่าง อะโวคาโด น้ำสลัด ปรุงรสตามสไตล์อาหารญี่ปุ่น มีวาซาบิแทรกอยู่เล็กน้อย ท็อปด้านบนด้วยไข่ปลาบิน และรากบัวทอดกรอบ ช่วยเพิ่มรสสัมผัสเวลาทานให้มีความกรุบกรอบยิ่งขึ้น
แพริ่งกับค็อกเทลที่ชื่อว่า C’EST SI BON
โดยมีเบสเป็นจิน คือ City of London Old Tom Gin ซึ่งจะมีรสหวานบาง ๆ ผสมกับความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ สมุนไพร และซิตรัสเจือเล็กน้อย เพิ่มความหอมหวานด้วย Benedictine D.O.M. ซึ่งทำจากเครื่องเทศ และสมุนไพร กับ Maraschino Luxardo ซึ่งทำจากเชอร์รี่ ที่มีกลิ่นหอมมาก ๆ และยังมีส่วนผสมที่ช่วยทำให้เจริญอาหารและรู้สึกสดชื่น คือ Tio Pepe ไวน์ขาวสัญชาติสเปน และ บิทเทอร์รสพีช ผสมลงไปด้วย เมื่อทานคู่กับทูน่าทาร์ทาร์ จึงตัดกันได้อย่างลงตัว เหมือนกับปลาที่แหวกว่ายฉวัดเฉวียนอยู่ในน้ำทะเลอันแสนสดใส ทำให้ทานได้เรื่อย ๆ เผลอแป๊ปเดียวก็ทานหมดจานแล้ว คุณ Mochammad มิกโซโลจิสของร้าน ได้บอกด้วยว่า ค็อกเทลแก้วนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงที่ชื่อ C’EST SI BON จึงเอามาตั้งเป็นชื่อค็อกเทลแก้วนี้ เมื่อได้ไปลองฟังเพลงนี้แล้ว ก็เข้าใจเลยว่า เมื่อได้ดื่มค็อกเทลแก้วนี้คู่กับทูน่าทาร์ทาร์แล้ว ก็เปรียบเสมือนชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ได้พบเจอกันและกำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก ที่อะไร ๆ ก็รู้สึกว่ามันดีไปหมด (It’s so good)
มาถึง Main Course
PAN SEARED WILD GROUPER
จะเป็นเนื้อปลาเก๋าทะเลย่างชิ้นโต เนื้อปลาแน่น ชุ่มฉ่ำ ไม่แข็งกระด้างหรือเละจนเกินไป แสดงถึงความสดใหม่ และการย่างอย่างพิถีพิถัน ใช้ไฟกำลังดี ทำให้หนังปลามีความกรอบเล็กน้อย ไม่เหนียว มีกลิ่นหอมของกระทะอ่อน ๆ ราดด้วย Bagna Cauda ซอส ซึ่งทำจากปลาแอนโชวี่ ผสมกับกระเทียม เนย น้ำมันมะกอก และครีม แต่ไม่ได้มีกลิ่นรุนแรงอะไร ด้านบนโรยด้วย nuts crumble เพิ่มความกรุบกรอบให้เคี้ยวสนุกมากยิ่งขึ้น
แพริ่งกับค็อกเทลที่ชื่อว่า PRINCE OF BANGKOK
ซึ่งมีเบสเป็นวิสกี้ที่ทำจากข้าวไรย์ (Rebel Yell Rye Whiskey) มีแอลกอฮอล์ค่อนข้างแรงพอสมควร เพิ่มความหอมหวานและสดชื่นด้วยน้ำสับปะรด น้ำเลม่อน และใบเบซิล ท็อปด้านบนด้วย sparkling wine เสิร์ฟมาในแก้วแชมเปญทรงสูง โดยมีผง vanilla cinnamon sugar เคลือบอยู่รอบปากแก้ว เมื่อดื่มแล้วก็จะได้รสชาติและกลิ่นหอมของวานิลลาและซินนามอนเข้าไปด้วย ทำให้รู้สึกหอมมาก ๆ ได้อารมณ์ของความเป็นท่านชายมาดเนี๊ยบ สมกับชื่อของค็อกเทลจริง ๆ เมื่อทานกับเมนคอร์สจะช่วยให้มีความละมุนมากยิ่งขึ้น เข้ากับเนื้อปลาได้เป็นอย่างดี
ปิดท้ายด้วยของหวาน
ได้แก่ EXPLOSIVE BROWNIE
เป็นบราวนี่ที่มี 3 ชั้น โดยมีไอศกรีมเป็นชั้นแทรกอยู่ระหว่างเนื้อเค้ก ด้านบนเป็นโดมช็อคโกแลตซึ่งเวลาทานจะต้องใช้ช้อนเคาะเบา ๆ เมื่อช็อคโกแลตด้านบนกะเทาะออก จะมีไอศกรีมเป็นลาวาไหลออกมา ทำให้บราวนี่มีความชุ่มฉ่ำมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีความกรุบกรอบของถั่ว และความหอมหวานของคาราเมลด้านบน ช่วยเพิ่มเท็กซเจอร์เวลาเคี้ยว
ค็อกเทลที่แพริ่งด้วยมีชื่อว่า WHITE MEXICAN
เครื่องดื่มแก้วนี้ ถ้ามองแค่ผิวเผิน อาจเข้าใจว่าเป็นกาแฟหรือโกโก้ที่มีฟองนมอยู่ด้านบน เผลอยกดื่มหมดแก้วไป อย่าหาว่าไม่เตือนนะครับ เพราะความจริงแล้ว เป็นเหล้ารัมที่ชื่อว่า NUSACANA RUM โดยเติมความหอมด้วย Patron XO ซึ่งเป็นรสชาติและกลิ่นของกาแฟ ส่วนด้านบนจะเป็นฟองครีมและผงช็อคโกแลต ทำให้มีความนุ่มละมุนมากยิ่งขึ้น ดื่มได้ไม่ยากครับ เข้ากับบราวนี่ได้เป็นอย่างดี ไม่หวานหรือขมจนเกินไป ทำให้รู้สึกว่าเป็นการปิดท้ายมื้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากอาหารและค็อกเทลที่แสนพิเศษทั้งสามคอร์สดังกล่าวแล้ว ทางร้านยังได้เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มในเมนูปกติให้เราได้ชิมกันอีกด้วย คือ
DEEP FRIED TAPIOCA & CURRED CHEESE
ส่วนประกอบหลักคือทาปิโอคา (Tapioca) ซึ่งเป็นพืชคล้ายมันสำปะหลังจากประเทศบราซิลและแถบอเมริกาใต้ ผสมกับชีส นำไปทอดจนมีสีเหลืองทอง กรอบนอก หนึบหนับข้างใน ทานเล่นได้สนุกดี
LAMB CROQUETTES
เป็นโครเกต์ที่ใช้เนื้อแกะคุณภาพดี เนื้อนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาว แต่งกลิ่นและรสโดย Dijon mustard ซึ่งเป็นมัสตาร์ดจากฝรั่งเศส ทำให้มีรสเผ็ดฉุนเล็กน้อย และเปรี้ยว เค็ม ด้านบนมีเนื้อมะม่วงหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ วางอยู่ และซอสที่ทำจากมะม่วง มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ช่วยให้ทานได้ไม่เลี่ยน
DON’T CALL ME MR. MULE
เป็นการทวิสต์จากค็อกเทลดั้งเดิมที่มีชื่อว่า Mule ซึ่งโดยปกติจะมีเบสเป็น vodka ผสมกับ ginger beer และน้ำมะนาว แต่มิกโซโลจิสต์ของเราได้ทวิสต์ให้ค็อกเทลแก้วนี้มีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้สมุนไพรและเครื่องเทศอย่าง ตะไคร้ มะกรูด และข่า มาเป็นส่วนผสม และเลือกใช้การอินฟิวส์ชั่นด้วยเทคนิค sous-vide (เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ภายใต้สูญญากาศ) เพื่อคงความเป็นอโรมาที่ดีที่สุดให้กับผู้ดื่มค็อกเทลสุดพิเศษแก้วนี้ ซึ่งเมื่อดื่มไปแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น ได้กลิ่นอายแบบไทย ๆ เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกับ Mule อย่างเห็นได้ชัด โดยความแตกต่างนี้ก็ได้ใช้เป็นกิมมิกในชื่อของค็อกเทล ซึ่งอาจแปลตรง ๆ ได้ว่า อย่าเรียกผมว่า Mr. Mule (Don’t call me Mr. Mule) หรือความหมายก็คือ ฉันไม่ใช่ Mule แก้วเดิม ๆ แล้วนะ
สำหรับผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ทางร้านก็ยังมีเมนูเครื่องดื่มม็อกเทลไว้บริการด้วย ซึ่งรับรองได้ว่าเมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่นและสนุกสนานได้ไม่แพ้ค็อกเทลเลยทีเดียว มาลองชมตัวอย่างกันครับ
PEACH & HOPS
ใช้เนื้อลูกพีชสดบดละเอียดเป็นตัวเอกของแก้วนี้ ผสมกับน้ำส้ม ใบมิ้นท์ ซิตรัส ให้ความรู้สึกสดชื่น และเพิ่มมิติของรสชาติและความหอมด้วย barley and hops syrup ทำให้มีรสขมติดปลายลิ้นเล็กน้อย ช่วยให้ความหวานของลูกพีชไม่แหลมจนเกินไป ให้ความรู้สึกคล้ายกับการดื่มค็อกเทลเบา ๆ ชื่อ PEACH & HOPS จึงแสดงถึงจุดเด่นของม็อกเทลแก้วนี้ได้เป็นอย่างดี
โดยส่วนตัวแล้ว ขอบอกเลยว่าคุ้มค่ามากที่ได้มาที่ร้าน SEEN Restaurant & Bar Bangkok แห่งนี้ รู้สึก stunning ตั้งแต่ขึ้นลิฟต์มาถึงร้านแล้ว นอกจากบรรยากาศภายในร้านที่สวยงามหรูหราอลังการ เมื่อมองออกไปโดยรอบแล้ว สามารถมองเห็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยา สะพานต่าง ๆ และวิวของความเป็นเมือง อยู่รายรอบ ราวกับล่องลอยอยู่บนฟ้า
โดยสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ และในเวลากลางคืน ก็จะได้อารมณ์ไปอีกแบบ โดยมีแสงสีทั้งจากอาคารและสะพานต่าง ๆ ให้ชมได้อย่างเพลิดเพลิน และยังดื่มด่ำไปกับอาหารและเครื่องดื่มอันแสนพิเศษ ที่ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ โดยได้รับการรังสรรค์มาอย่างดี SEEN Restaurant & Bar Bangkok จึงเป็นสถานที่แฮงค์เอาท์แห่งใหม่ ที่สามารถมาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ มาเฉลิมฉลองกับคนพิเศษ หรือแม้กระทั่งเจรจาทางธุรกิจกันก็สามารถทำได้ เชื่อได้ว่าจะสร้างความประทับใจให้กับทุกท่านที่มาที่ร้านได้อย่างแน่นอน
SEEN Restaurant & Bar Bangkok
พิกัด : ชั้น 26-27 โรงแรมอาวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ เลขที่ 257 ถนนเจริญนคร แขวงสำเหร่ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
Google Map : https://goo.gl/maps/6i292XSLWi92
เปิดบริการ : ทุกวัน เวลา 18.00 – 01.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 02-431-9120
Story : Nathapol .K
Photo Pol.Cap. Kittin A.
KinlakeStars.com
fine dining, dinner, avani plus bangkok, review, luxury, rooftop, seen
KinlakeStars.com กินแหลกแจกดาว สื่ออาหารและการท่องเที่ยว ที่นำเสนอเกี่ยวกับ อาหาร และ การกินดื่ม รวมถึงการท่องเที่ยวและที่พัก ทั้งในส่วนของ รีวิว อาหาร สถานที่ กิน ดื่ม เที่ยว พัก ผ่อนคลาย ในทุกประเภทหมวดหมู่ โปรโมชั่น ส่วนลด เมนูใหม่ กิจกรรมพิเศษ ที่เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม บทความที่เกี่ยวกับการ กินดื่ม ไม่ว่าจะเป็น บทความกินดื่มทั่วๆไป อาทิ วิธีการ กินชีส และการดื่มไวน์ บทความการกินเพื่อสุขภาพ บทความการกินตามเทศกาล บทความสาธิตและสอนทำอาหาร สูตรทำอาหาร ข่าวสารในแวดวง การกิน ดื่ม คลิปและวีดิโอ เกี่ยวกับการ กิน ดื่ม ท่านสามารถค้นหาร้านอาหารผ่านแถบค้นหาด้านบนสุดของเวปได้เพียงพิมพ์ชื่อร้าน หรือประเภทอาหาร และย่าน คิดถึงเรื่อง กิน ดื่ม คิดถึง kinlakestars.com – กินแหลกแจกดาว