การปรุงอย่างไทยแท้ๆ นับวันยิ่งน้อยลง และหายากขึ้น ปัจจุบันเทรนอาหารส่วนใหญ่เริ่มหันเหให้ความสนใจไปกับอาหารรูปแบบประยุกต์ หรือฟิวชั่นมากขึ้น แต่ในวันนี้เราจะพาเพื่อนๆผู้อ่านทุกท่านไปพบกับอาหารไทยแท้ๆต้นตำหรับ และพิเศษสุดๆกับการจับคู่กับไวน์ไทยมากรางวัล
“กรานมอนเต้ ไวน์ดินเนอร์” ได้จัด มื้อสุดพิเศษ นำอาหารไทยรสดั้งเดิมมาจับคู่กับไวน์ไทยที่ได้รางวัลอย่างมากมาย ณ 9 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ให้แขกและนักชิมทั้งหลาย ได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารไทยเลิศรสคู่ไวน์ไทยรสเลิศ ณ ห้องอาหารไทย สวนบัว โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
ห้องอาหารไทยสวนบัว โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เชิญคุณมาลิ้มรสความอร่อยเคล้าสุนทรียภาพสไตล์ไทยโมเดิร์นในงาน “กรานมอนเต้ ไวน์ดินเนอร์” ซึ่งท่านจะได้อิ่มอร่อยกับอาหารไทยเลิศรสจานเด่นต้นตำรับหาทานยากทั้ง 6 ชุด โดยเชฟปอ สันติภาพ เพชรว่าว เชฟเอกแห่งห้องอาหารไทยสวนบัว ซึ่งได้คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีปรุงอย่างประณีตงดงามเพื่อให้เข้ากับไวน์ไทยรสเลิศ จากกราน มอนเต้ ไวน์สัญชาติไทยที่ได้รับรางวัลชั้นนำระดับโลกมากมาย
พร้อมเสิร์ฟความอร่อยลงตัวกับชุดดินเนอร์ 6 คอร์ส ราคาท่านละ 1,750 บาท ++ เฉพาะวันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 นี้เท่านั้น
เริ่มต้นมื้อด้วยแก้วไวน์ที่เรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ สำหรับจับคู่กับอาหารในแต่ละจาน และใบบัวใบใหญ่ที่สวยงาม โดดเด่นเป็นสง่า เป็นเสมือนแผ่นรอง และสมกับชื่อห้องอาหารสวนบัวด้วยนั้นเอง
คอร์สที่ 1 ข้าวตังหน้าตั้ง / กุ้งซ่อนกลิ่น / ข้าวเกรียบทอด เสิร์ฟคู่ ไวน์เชอนินบลังเครมองเอ็กซ์ตร้าบรูท
หลังจากนั่งโต๊ะกันแล้ว เราก็มาอุ่นเครื่องก่อนเข้ามื้อใหญ่ ด้วยอาหารกินเล่นจานแรก ซึ่งประกอบไปด้วยของกินเล่นสามสิ่ง อันได้แก่ ข้าวตังหน้าตั้ง ข้าวตังทอด ชิ้นพอดีคำ กรอบ หอมข้าว และส่วนของไส้ด้านบน หรือที่เราเรียกกันว่า หน้าตั้ง อันประกอบไปด้วย เนื้อหมูสับ (เนื้อแดง)ซึ่งต้องใช้ส่วนของเนื้อแดง กุ้งสดสับ และนำมาทำให้สุก คลุกผสม พริกแห้งแกะเมล็ดออก ถั่วลิสงคั่วโขลกพอละเอียด หอมใหญ่หั่น และที่สำคัญที่จะทำให้มันหอมอร่อยนั้นคือ หัวกะทิ และ หางกะทิ ซึ่งแน่นอน ใช้กะทิสำเร็จไม่ได้ และสิ่งที่อาหารไทยแทบทุกเมนูมักผสมลงไป รากผักชี และ กระเทียม อันเพิ่มความหอม
กุ้งซ่อนกลิ่น ซ่อนกลิ่นสมชื่อ และสวยงาม กุ้งบดที่ปรุงรสกับเครื่องเทศห่อมาในผักสดใบเขียวน่าลิ้มลองวางบนแตงกวาหั่นแว่น เสียบกลัดไม้และยอด ประดับด้วยดอกมะลิ
ข้าวเกรียบทอดกับน้ำพริก ข้าวเกรียบกุ้งแผ่นพอดีคำ กรอบ รสมันเค็มกำลังดี กินคู่กับน้ำพริกที่ทำกับเองภายในครัว รสไม่เผ็ดไป
นับว่าเป็นการเริ่มต้นมื้อที่ดี
คอร์สที่ 2 เมี่ยงกุ้งฟูกลีบบัว / ยำชะครามเนื้อปูสมุทรสาคร เสิร์ฟคู่ ไวน์ขาว วิออนเยร์ 2013
มาต่อ ของกินเล่น และยำ อันเป็นหนึ่งในอาหารที่ใช้เรียกความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี สำหรับจานนี้จัดมาอย่างสวยงาม ประดับด้วยดอกเฟื่องฟ้า และอาหารสองชนิดในจาน ได้แก่
เมี่ยงกุ้งฟูกลีบบัว – กลีบดอกบัวสีชมพูเข้มกลีบใหญ่ ทรงงุ้มกำลังดีรองรับความอร่อยไว้ได้แก่กุ้งฟูและน้ำพริกที่ไม่เผ็ดไป รสลงตัวกำลังดีสีสันสวยงามน่ากิน
ยำชะครามเนื้อปูสมุทรสาคร – เสิร์ฟมาในตะกร้าจิ๋ว ดูน่ารักและเรียกความน่าสนใจได้ดี ยำใบชะคราม ที่เพิ่มความหอมมันด้วยกะทิและน้ำพริกเผา รับรองว่าอร่อยติดใจ สำหรับใครหลายๆคนแน่นอนครับ เพราะส่วนตัวก็ประทับใจเมนูนี้สุดๆ เลยทีเดียว หนึ่งในความหอมมันของเมนูนี้ก็มาจากการใช้ กะทิสด กะทิเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ต้องให้ความสำคัญมาก ในการทำอาหารไทย สำหรับเมนูนี้เราจะต้องเริ่มจากการ ตั้งหัวกะทิบนเตาจนเริ่มปุดๆ พอเดือด จากนั้น ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี้ป น้ำพริกเผา น้ำปลา และน้ำมะนาวตามลำดับ จากนั้นจึงถือว่า เป็นอันเสร็จส่วนของน้ำยำ ยกพักไว้ ต่อมาจึง ลวกใบชะคราม และนำเนื้อปูที่นึ่งผสมเข้าด้วยกันกับใบชะคราม เทส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่น้ำยำ ถั่วลิสงบด กุ้งแห้งบด พริกแห้งป่น และหอมเจียว แล้วจึงคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วยกเสิร์ฟตามดังที่เราเห็นกันนี้
คอร์สที่ 3 ต้มกุ้งย่างปรุงสด รัชกาลที่ 5 เสิร์ฟคู่ ไวน์สกุณาชีราห์โรเซ 2015
ต้มยำกุ้ง – ครบเครื่องต้มยำ และ เชฟได้ใช้สูตรต้นตำหรับที่ได้ร่ำเรียนมาจากคุณยาย จึงทำให้ได้รสที่ดั้งเดิม จากเครื่องต้มยำที่ครบ ในความแตกต่างจากต้มยำหลายที่นั้นคือ กุ้งที่อยู่ในต้มยำนี้ เป็นกุ้งย่าง มิใช่กุ้มต้มทั่วไป จึงทำให้ผิวและเนื้อของกุ้งมีสัมผัสที่ต่างไปจากกุ้งต้ม ทั้งกลิ่นที่ได้จากการย่างและผิวที่มีความเกรียมแห้งนิดๆ และสำหรับต้มยำนี้ ก็ประกอบได้ด้วย ตะไคร้ ข่า หัวหอมเผา ใบมะกรูด ผักชีฝรั่ง ผักชี พริกขี้หนูสด มะนาว และ น้ำปลา
คอร์สที่ 4 สะเต๊ะไก่ / เนื้อเค็มย่างผัดกะทิ เสิร์ฟคู่ ไวน์เฮอริเทจ ชีราห์ วิออนเยร์ 2013
สะเต๊ะไก่ : ใช้ไก่ตะเพาทองหมักผสมเข้ากับเครื่องเทศที่สูตรต้นตำหรับอย่างลงตัว ทำให้ได้กลิ่นและรสเครื่องเทศอย่างครบ เข้าเนื้อ เนื้อนุ่มหนึบชุ่ม ติดมันนิดๆ และทีเด็ดคือน้ำสะเต๊ะ เพราะน้ำสะเต๊ะนี้หอม มัน อย่างมาก ไม่ว่าใคร เมื่อได้ลอง ก็ต้องเป็นอันประทับใจ และหนึ่งในเคล็ดลับนั้นคือการเคี่ยวจนข้นที่ใช้เวลาถึง 12 ชม. นั้นเอง
เนื้อเค็มย่างผัดกะทิ : เนื้อเค็มที่ทำเป็นเส้นๆ ฝอยๆ
คอร์สที่ 5 แกงเผ็ดเป็ดย่างโครงการหลวง / กุ้งแม่น้ำย่างราดหอยลายผัดพริกขิง / ยำเนื้อย่างกำแพงแสน ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ปลูกบนดินภูเขาไฟ จังหวัดบุรีรัมย์ เสิร์ฟคู่ ไวน์โอเรียน ชีราห์ 2011
แกงเผ็ดเป็ดย่างโครงการหลวง : ใช้ เป็ดอี้เหลียง จากโครงการหลวง
คอร์สที่ 6 ส้มฉุนและจ่ามงกุฎโบราณ รัชกาลที่ 2 เสิร์ฟคู่ ไวน์บุษบา
จ่ามงกุฎโบราณ – หนึ่งในขนมอันแสนจะน่าน้อยใจ เพราะ เจ้านี้มักถูกเข้าใจผิดและถูกลืม ทองเอกกระจังกลับกลายเป็นจ่ามงกุฎในความเข้าใจของคนทั่วๆไปเสีย อันที่จริงจ่ามงกุฎแท้ๆคือแบบนี้เลยครับ
เพราะอันที่จริงแล้ว จ่ามงกุฎโบราณ มีลักษณะคล้ายกะละแมสีขาว เหนียวๆ หนึบๆ หวานๆ ทำจากแป้งข้าวเจ้าหรือแป้งข้าวเหนียวนวดผสมกับแป้งถั่วเขียว นำไปกวนกับกะทิและน้ำตาลทรายขาวจนเหนียว โรยเมล็ดถั่วลิสงคั่วซอยหรือเมล็ดแตงโมกะเทาะเปลือกเป็นไส้ในตัวขนม และ โรยแป้งทอดตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เท่าเมล็ดข้าวสุก ซึ่งใช้เวลาทำนานมาก จากนั้นตัดขนมเป็นก้อนพอคำ ห่อด้วยตองกล้วยเพสลาด ซึ่งตองสลาด คือใบตองใบที่ 3 ของต้นแล้วก็นำไป นาบทิ้งไวจนได้ที่นั่นเอง
ส่วนจ่ามงกุฎที่เราเข้าใจกันนั้น อันแท้จริงเรียกว่า ทองเอกกระจัง ซึ่งเกิดขึ้นในยุค จอมพล ป.
จ่ามงกุฎเป็นขนมชนิดหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงในกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานและงานนักขัตฤกษ์ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยเป็นตำรับดั้งเดิมในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี อันตอนหนึ่งความว่า
“งามจริงจ่ามงกุฏ ใส่ชื่อดุจมงกุฏทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล “
หลายคนอาจสงสัยว่า งามเช่นไร เหมือนมงกุฎตรงไหน ผมจึงต้องขอเรียนว่าในยุค ร.2 มงกุฎในยุคนั้นมีลักษณะเป็นทรงยอดแหลม เหมือนชฎานั้นเอง ดังนั้น จ่ามงกุฎในอดีตที่ห่อด้วยใบตองจะทำออกมาในลักษณะดูแล้วเหมือนมงกุฎทอง
ส้มฉุน – หนึ่งในของหวานโบราณหากินยาก ส้มฉุนเป็นผลไม้ลอยแก้วที่มีความพิเศษจากผลไม้ลอยแก้วอื่นๆตรงที่น้ำลอยแก้วมีส่วนผสมของน้ำจากส้มซ่า ซึ่งมีความหอมพิเศษเฉพาะตัว ที่ให้รสหอมและไม่เปรี้ยวแหลมแถมมีมะม่วงเปรี้ยว สำหรับส้มฉุนฉบับเชฟคนนี้จะใช้น้ำขิง ซึ่งบางตำหรับจะใส่ขิงอ่อน และหอมเจียวโรย ดูไม่น่าจะเข้ากันแต่กินแล้วเข้ากันมากๆ ความหวานและสัมผัสนั้นทำให้เกิดความแปลกแต่ลงตัว
หอม กินตอนเย็นๆจะยิ่งเพิ่มความรู้สึกสดชื่น ชื่นใจ เหมาะกับอากาศร้อนของไทยมาก อันอยู่ใน กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานและงานนักขัตฤกษ์ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยเป็นตำรับดั้งเดิมในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี อันตอนหนึ่งความว่า
” ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น เรียกส้มฉุนใช้นามกร
หวนถวิลลิ้นลมงอน ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน “
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งล่วงหน้าวันนี้ โทร: 02 541 1234 ต่อ 4151 / Email: [email protected]
ห้องอาหารสวนบัว: ชั้น LL โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
เปิดบริการทุกวัน: มื้อกลางวัน 11.30 – 14.30 น. / มื้อค่ำ 18.00 – 22.30 น.
เรื่อง : Pol.lt. Kittin A.
สวนบัว รีวิว suan bua review
KinlakeStars.com