Indoor Rooftop ที่งดงามและอาหารอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในไทย สวยงาม เก๋ลไก๋เหมือนล่องลอยอยู่ในอวกาศ เพลิดเพลินกับทัศณียภาพกรุงเทพ 360 องศา และอาหารแสนอร่อย ราคาเหมาะสม
หากท่านเคยอ่านรีวิวชุด Afternoon Tea ของ Banyan Tree มาก่อนแล้ว (อ่านต่อที่นี่) อันนั้นเป็นที่นี่ ที่เดียวกันแต่เป็นเวอร์ชันกลางวันค่ะ คราวนี้ Kinlakestars.com ขอพามาลองทานอาหาร เครื่องดื่ม และวิวอันงดงามเหนือเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพมหานคร ในยามกลางคืนกันบ้าง จะได้บรรยากาศอันแสนสวยงามที่แตกต่างกันไปอีกแบบค่ะ ซึ่งจะเปิดตั้งแต่เวลา 17:00 – 1:00 น. จริงๆแนะนำให้มากันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เพราะเราจะได้ชมเมืองกันตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน เป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ จุดเริ่มต้นของแสงสียามกลางคืน ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่ดูโรแมนติกดีค่ะ
นั่งกินดื่มชมวิวอันสวยงามจากทุกมุมของ กรุงเทพมหานคร เหนือเส้นขอบฟ้า ในห้องแอร์เย็นๆ ยามค่ำคืนกับวิวระดับ Rooftop ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และอาหารที่สวยงาม อร่อย หลากหลาย อีกทั้งเครื่องดื่มยังมีมากมาย และราคาสมเหตุสมผลอีกด้วย @Vertigo Too, Banyan Tree Bangkok
หากคุณเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ที่นั่งที่เป็นเบาะขนาดใหญ่ สามารถเหยียดขาได้สบาย หรือโต๊ะเก้าอี้ ก็มีให้เลือกหลายโต๊ะ ทั้งแบบโต๊ะเก้าอี้นั่งกิน ดื่ม ตามปกติ หรือแบบเก้าอี้ และโต๊ะทรงสูง สไตล์บาร์ ในอีกส่วนที่แปลกและดูเก๋ไม่เหมือนที่ใด ได้แก่ ในส่วนของโซน ชั้นลอยทั้ง 2 ด้านก็สามารถขึ้นไปนั่งชมวิวกันได้ค่ะ พอมืดแล้วไฟดวงเล็กดวงน้อยที่ถูกติดตั้งสูง-ต่ำในระดับที่ไม่เหมือนกัน คนละระนาบ ท่ามกลางฝ้าเพดานสีดำจนมองดูเหมือน ดวงดาวสุกสกาวอยู่กลางคืนเดือนมืดเลยล่ะค่ะ ชมวิวกับบรรยากาศโดยรอบไปพร้อมกับวงดนตรีเล่นสดตั้งแต่ 1 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม เพลงประมาณ Close to you, Dream a little dream of me, Sway เป็นต้น หลังจากนั้นจะเป็นการเปิดแผ่นบ้าง ดีเจเปิดเองบ้าง อย่างวันที่มารู้สึกว่ายิ่งดึกยิ่งเป็นเพลง Jazz เร็วๆ และมีความครึกครื้นมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั่งชมบรรยากาศจนจุใจในระดับหนึ่งแล้ว เป็นเวลา 6 โมงเย็นที่ครัวเริ่มเปิดพอดี พลิกเมนูที่มีไฟเรืองแสงอยู่ในตัวนั่น แล้วเราสั่งมาลองชิมกันดีกว่าค่ะ
จานแรก Potato Bruschetta Quartet (430 บาท)
เป็นมันฝรั่งทอดสีเหลืองทอง 4 ชิ้นใหญ่ ชิ้นนึงราดด้วย Greek Salad เปรี้ยวเค็มเล็กๆจากชีสกับผักสลัดอีกนิด Guacamole สีเขียวอ่อนจากผลอโวคาโด ได้รสเปรี้ยวจาก lime Tomato Salsa มะเขือเทศหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดจิ๋วออกเปรี้ยวด้วยมะนาว Hummus แฝงเค็มนิดๆในเนื้อครีมสีขาวนวล (ในเมนูบอกว่ามีส่วนผสมของถั่วด้วยนั้นคงจะมาจากชิ้นนี้นั่นเอง) โดยรวมแล้วแต่ละชิ้นนั้นมีรสใกล้เคียงกัน ช่วยดึงรสมันฝรั่งออกมาให้พอชัดเจน
Pan-Seared Hokkaido Scallop (570 บาท)
Pan-Seared Snapper Fillet (520 บาท)
ปลากระพงที่สุกกำลังดี เนื้อแห้งไม่มาก ไม่ over cook จนเกินไป กินคู่กับซอสสีส้มๆที่เปรี้ยว เจือความเผ็ดเล็กๆ ซึ่งเป็น Carrot Pureé ผสมกับ เลมอน และ ผสมพริกเล็กน้อย รสเข้ากับปลาดี เพราะปลาเองรสจะออกเบาๆ เมื่อได้ซอสตัวนี้จึงช่วยชูรสขึ้นมาได้ดี และซอสสีขาวๆเป็นเหมือนคู่ตรงข้ามกัน ช่วยดึงรสของเนื้อปลาออกมาได้ดีกว่า
Jasmine Tea-Smoked Lamb Loin (550 บาท)
Golden Beef Massaman Thai Curry (500 บาท)
แกงมัสมั่นเนื้อในถ้วยเล็กๆน่ารักนั้น มีน้ำซุปรสชาติเข้มข้นด้วยเครื่องแกงแบบจัดเต็ม เป็นมัสมั่นที่รสจะออกหนักไปทางมันเค็มและมีความเข้มข้นของเครื่องแกง ซึ่งเป็นการปรุงแบบสูตรต้นตำหรับทางใต้ จะต่างออกไปจากมัสมั่นทางภาคเหนือและภาคกลางที่อาจจะออกหวาน ทานคู่กับขนมปังปิ้ง อร่อยลงตัวค่ะ หรือถ้าใครได้ลองไปทานที่ห้องอาหาร Saffron มาก่อนแล้ว นี่ล่ะค่ะ สำเนาถูกต้องเป๊ะ เพราะเมนูนี้เป็นสูตรของเชฟเรณู หัวหน้าเชฟ ห้องอาหาร Saffron ค่ะ
1 ในเมนูพิเศษประจำเดือนนี้ที่ใช้ตีม Cinco De Mayo เป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลของคนเม็กซิกันในประเทศสหรัฐอเมริกา เมนูที่จงใจคัดสรรค์มาเหล่านี้จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเม็กซิกันอยู่ทุกจาน
ดังที่เราได้ลองจานหนึ่งในวันนี้ Chorizo Quesadillas (490 บาท)
เป็นแป้งสีขาวบางแสนบาง(แค่ 1 มิล!)กรอบ ตรงกลางใส่ไส้แผ่นกลมๆคล้ายซาลามีเค็มๆหน่อย เชดด้าชีสเยิ้มๆผสมมันฝรั่งลูกเต๋าลูกจิ๋วอีกนิด พร้อม Sour Cream, Tomato Salsa, Guacamole และผักชีโรยหน้า ซึ่งเมนูนี้ให้ทานตอนร้อนๆแล้วอร่อยมากค่ะ เป็นเมนูประจำเดือนนี้ก็มีแค่เดือนพฤษภาคมนี้เท่านั้นนะคะ
The Haole (450 บาท)
ด้วยชื่อเสียงเรียงนามของแก้วนี้ที่คว้ารางวัล ติดอันดับ 1 ใน 8 ของโลกมาแล้ว ตอนนี้มาถึงถิ่นเค้าทั้งทีไม่ลองไม่ได้แล้วค่ะ ด้วยส่วนผสมของเหล้า Rum และ Vermouth เข้มข้นด้วยเปรี้ยวสับปะรด(มีเป็นชิ้นประดับมาด้วย กลายเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของแก้วนี้เค้าล่ะ) เลมอน จิงเจอร์เอล ให้ฟีลแบบหน้าร้อน หาดทราย แสงแดด ทะเลได้ดี ดื่มง่าย อร่อย สดชื่น แต่แรงอยู่เหมือนกันนะคะ
ส่วนคนที่อยากดื่มเป็น Mocktail มากกว่าที่นี่ก็มีให้เลือก 3 ตัวค่ะ เช่น Orchard Spritz (310 บาท) มาในแก้วมีก้านจับ ขนาดพี่ๆของแก้วไวน์ ในแก้วนั้นหอม หวานแอปเปิลเขียวซ่าๆ พร้อมแอปเปิล 3 ชิ้น เป็นแก้วที่แตกต่างกับน้ำแอปเปิลตามปกติที่สมใจดีค่ะ
ต่อไปมาทานของหวานกันบ้างนะคะ
Chocolate Shell (280 บาท) ถ้วยเคลือบช็อกโกแลต ข้างในเป็นช็อกโกแลตที่มีความเข้มข้นของช็อกโกแลตกำลังดีกึ่งแบบครีม ตัวถ้วยก็เป็นช็อกโกแลตอีกแบบนึงที่ขมขึ้นมาหน่อย ทานกับซอสคาราเมลที่ราด มีเหล่าเบอร์รีให้เปรี้ยวชุ่มฉ่ำเล็กๆ
Young Coconut & Malibu Cake (280 บาท) ไอศกรีมมะพร้าวแสนอร่อยที่หวานๆรสมะพร้าวกำลังดี ตัวเค้กเนื้อเบาบาง หอม มัน เนียน มะพร้าวและวนิลาละมุนๆ ขนมสาลีที่พองฟูเลยกลายเป็นเนื้อที่หนักขึ้น มีถั่วกระจกที่เป็นมะม่วงหิมพานต์เคลือบน้ำตาลหวานๆ กับสตรอเบอรีสดให้เปรี้ยวตัดกันไป
นี่ล่ะค่ะ ขอจบมื้ออร่อยๆ วิวสวยๆนี้ด้วยภาพของช็อกโกแลต Vertigo Too
หรือถ้ายังอิ่มกันอยู่อยากเดินย่อยสูดอากาศกันบ้าง ขอแนะนำให้ลองเดินขึ้นบันไดไปอีก 1 ชั้นค่ะ มีวิวสวยๆแบบนี้รออยู่ Vertigo Roof top อันมีชื่อเสียงที่ได้ขนานนามว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ทั้งทัศนียภาพ และอาหารค่ะ
จะเห็นว่า Vertigo Too เป็น แหล่ง กิน ดื่ม ที่เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบทัศนียภาพเหนือเส้นขอบฟ้า ด้วยความสูงที่ชั้น 60 ซึ่ง เมื่อเข้าช่วง ฤดูฝน หรือ ในวันที่ฝนตก Roof Top ด้านบนไม่สะดวก Vertigo Too ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก ทั้งทัศนียภาพที่ดี อาหารอร่อย สวยงาม และเครื่องดื่มที่หลากหลาย รางวัลรับประกันมากมาย และราคาสมเหตุสมผล จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนให้คุณเอง ควรมา Vertigo too ด้วยตนเองซักครั้งหนึ่ง มาสัมผัส และเห็นด้วยตาคุณเองสิคะ แล้วคุณจะชื่นชอบค่ะ
เรื่อง : Nopmanee P.
ภาพ : Satid C.
ประเมินโดย : Pol.Lt.Kittin A.